เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในทีมจะด้วยสาเหตุใดก็ตามผู้นำทีมจะเพิกเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเป็นการหลบเลี่ยงปัญหาคงไม่ได้ รวมทั้งจะทำตัวอยู่เหนือปัญหาก็ไม่ได้อีกเช่นกันผู้นำทีมจะต้องไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งเป็นปัญหาเรื้อรังแต่ต้องรีบจัดการกับปัญหา เพื่อยุติข้อขัดแย้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่ว่าผลของความขัดแย้งจะมีมากน้อยเพียงใดแต่ต้องมองให้ออกว่ามีใครร่วมในความขัดแย้งและสาเหตุของความขัดแย้งที่แท้จริงเกิดจากอะไร จากนั้นจึงพิจารณาหาวิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับข้อขัดแย้งความขัดแย้งในทีม มิใช่มีสาเหตุจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเท่านั้น แต่อาจมีสาเหตุมาจากเรื่องของศักดิ์ศรี สถานภาพ ตำแหน่งหน้าที่ เกียรติยศ ความขัดแย้ง โดยทั่วไปจะเกิดจากความขัดแย้งในบทบาทและค่านิยมที่แตกต่างกัน จึงต้องค้นหาสาเหตุที่ตรงกับปัญหาให้ได้มากที่สุด ทั้งจะต้องมองปัญหาความขัดแย้งว่าเป็นสิ่งที่จะต้องหาทางแก้ไขร่วมกัน มิใช่การใช้อำนาจสั่งการเพื่อยุติความขัดแย้งความพยายามในการระงับข้อขัดแย้งในเบื้องต้นไม่ให้เป็นปัญหาลุกลามไป เพราะในที่สุดคู่กรณีในความขัดแย้งก็ยังคงอยู่ทำงานร่วมกันในทีม จึงควรดำเนินการในแนวทางดังนี้
1. วางตัวเป็นกลางไม่เลือกข้าง
2. ระมัดระวังเป็นพิเศษ
3. ไม่ลังเลในการเข้าแก้ไขความขัดแย้ง
4. ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นดำเนินการแทน
5. เร่งพิจารณาสาเหตุของความขัดแย้งและหาวิธีแก้ไขโดยเร็ว
การจัดการกับความขัดแย้ง
มีการทดลองใช้วิธีแก้ไขความขัดแย้งหลายวิธี แต่ก็ยากที่จะการสื่อสารใดๆ ทั้งวิธีพูด หรือเขียนต้องใช้ถ้อยคำหาวิธีที่ถูกต้องแน่นอนใช้กับทุกสถานการณ์ วิธีที่ถือว่าเป็นการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ด้วยการมองลงไปที่เนื้อหาของความขัดแย้งแทนที่จะมองที่ตัวบุคคล เป็นการมุ่งที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่าการตำหนิคู่กรณี ซึ่งไม่ได้สร้างผลดีอย่างไรเลย แต่กลับเป็นการก่อให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นการเลือกหาวิธีการต่างๆ มาจัดการกับความขัดแย้ง ผู้นำทีมอาจใช้วิธีการตามพฤติกรรมที่เป็นหลักสำคัญมี 5 วิธี ได้แก่
1. การหลีกเลี่ยง (Avoidance) 2. การปรองดอง (Accommodation)
3. การประณีประนอม (Compromise) 4. การแข่งขัน 5. การร่วมมือกัน
อ้างอิงจาก สมิต สัชฌุกร “ T eamwork ที่ขาดไม่ได้”
http://www.tpa.or.th/tpanews
ไม่มีความเห็น