492 บทสนทนากับกัลยาณมิตร


Persons with disabilities = Kalayanamitre

 

(ต้นมหาโพธิ์ที่หน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยาตั้งแต่ปี 2500)

บทสนทนากับกัลยาณมิตร

 

วันนี้ (16 สค. 2554) ได้มีโอกาสเลี้ยงอาหารกลางวันและสนทนากับคนพิการ จาก Disabled Peoples’ International Asia-Pacific Regional (DPI/AP) นำโดย นส.เสาวลักษณ์ ทองก๊วย จนท.สำนักงานภูมิภาคประจำประเทศไทยและจนท.อีก 5 ท่าน ซึ่งต่อไปนี้ผมจะใช้คำว่ากัลยาณมิตรกับบุคคลคณะนี้ เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าคนเหล่านี้ต่างจากคนธรรมดาเลย ผมเคยบันทึกเรื่องการได้พบกับผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลคนพิการและคนพิการไทยที่มาเยือนเดลีมาแล้ว 2 บันทึกคือ  ในบันทึก http://www.gotoknow.org/blog/poldejw/260947 เรื่อง “พบคนพิการไทยที่เดลี” และ http://www.gotoknow.org/blog/poldejw/443213 “พิการ...อาจไม่ใช่” ก็ยังรู้สึกประทับใจเช่นเดิม เพราะการพบปะในแต่ละครั้ง ทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ได้เข้าใจกัลยาณมิตรเหล่านี้มากขึ้น เห็นถึงความเป็นมนุษย์ในจิตใจของเขาเหล่านั้น

การมาของคุณเสาวลักษณ์ในครั้งนี้เพื่อเข้าร่วมการประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับทศวรรตใหม่ของเอเชียแปซิฟิกของผู้พิการ (2013-2022) ทศวรรตแห่งการดำเนินการ ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 18-21 สิงหาคม 2011 ณ กรุงนิวเดลี อินเดีย คุณเสาวลักษณ์ คุณวันเสาร์ ชยะกุล เว็บมาสเตอร์ของ DPI/AP จนท.ของศูนย์  และ Mr.Miyamoto Taisuke ผู้ประสานงานในอาเซียนและภรรยา (ซึ่งนั่งรถเข็น) มาร่วมรับประทานอาหารและสนทนาด้วย

ในการสนทนาวันนี้ ผมได้ถามตรงๆ ว่าต้องการให้รัฐบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องทำอะไรให้มากที่สุด คำตอบคือโอกาสทางการศึกษา เป็นประการแรก ซึ่งต้องดูในรายละเอียดด้วยว่าเมื่อได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนพิการแล้ว ก็ต้องให้สามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกด้วย คุณเสาวลักษณ์กล่าวว่าคนพิการที่ถูกทอดทิ้งมีเยอะ ในกรณีที่มิได้พิการแต่กำเนิด พอต้องพิการด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ก็ทำให้สังคมรอบข้างเปลี่ยนไปหมด จากที่เคยเรียนในโรงเรียนก็ถูกกดดันทั้งจากคนรอบข้างและเพื่อนในโรงเรียนจนทำให้ต้องลาออกในที่สุด ถ้าครอบครัวไม่เข้าใจก็หนักขึ้นอีก เมื่อไม่ได้ศึกษาชีวิตก็ยิ่งตกต่ำขึ้นไปอีก การศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการสนับสนุนให้คนพิการสามารถเรียนต่อให้จบการศึกษาเท่าที่เขามีความสามารถ ที่ผ่านมาผู้พิการหลายคนได้พิสูจน์แล้วว่าหากได้โอกาส ก็สามารถศึกษาในระดับสูงจบมาเป็นครูบาอาจารย์ในหลายมหาวิทยาลัย

เมื่อพูดถึงเรื่องการศึกษาทางออนไลน์หรือการสอนทางไกล น่าจะเป็นประโยชน์กับคนเหล่านี้ด้วย คุณเสาวลักษณ์บอกว่าในเมืองใหญ่ๆ อาจจะได้ประโยชน์แต่ผู้พิการตามชนบทซึ่งมีอยู่มากกว่าไม่มีโอกาสนี้เพราะยากจน เรื่องจะมีคอนพิวเตอร์หรือเล่นอินเตอร์เน็ตนั้นไม่ต้องพูดถึง

ตรงนี้ เท่าที่คุยกับกัลยาณมิตรคณะนี้ มีความไม่เข้าใจกันที่น่าสนใจ คุณเสาวลักษณ์กล่าวถึงประสบการณ์ของตนเองว่า บางครั้งก็ไม่อยากให้คนทั่วไปมาช่วยเหลือมากจนเกินไปเพราะทำให้รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารเพราะสามารช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่งแม้จะนั่งรถเข็นแต่ก็ไปไหนมาไหนได้และจะรบกวนเท่าที่จำเป็น แต่ด้วยความที่คนทั่วไปอาจเห็นคนพิการต่ำกว่าจึงรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือด้วยความสงสาร...นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเข้าใจไม่ตรงกัน แล้วก็โยงมาถึงประเด็นที่ว่าทำไมรัฐต้องให้การดูแลเพื่อให้คนพิการสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมปรกติเช่นคนปรกติได้ เช่นในทุกสถานที่สาธารณะ ทำทางเข้าทางออกที่เอียงลาดให้คนพิการ ที่จะเข้าออกได้เอง(รถนั่ง) รถประจำทางก็มีบันไดของผู้พิการที่จะเลื่อนขึ้นลงหรือรถบัสพิเศษสำหรับคนพิการซึ่งในต่างประเทศหลายประเทศทำอยู่ ในพิพิธภัณฑ์ หรือโรงละคร โรงเรียน ที่ว่าการของรัฐทั้งหลาย ก็น่าจะมีสิ่งเหล่านี้อำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ ที่ยังสามารถช่วยตัวเองได้ไม่ต้องรบกวนคนทั่วไป.....นี่เป็นสิ่งที่ผมเข้ใจกัลยาณมิตรได้ดีและเห็นว่าเราควรช่วยกันดูแลและจริงๆ แล้วน่าจะต้องช่วยกันในระดับครอบครัวเลย เพราะเป็นจุดที่เล็กที่สุดของสังคม ถ้าครอบครัวมีความรักความอบอุ่นไม่ว่าสมาชิกครอบครัวจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่านั่นคือความเข้มแข็งที่น่าส่งเสริมให้เกิด และจะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม

ในโอกาสที่ผมบังเอิญได้เห็นรายการโทรทัศน์ทีจีเอนเรื่องร้านอาหารมังสะวิรัตที่ชื่อว่า Loving Hut ซึ่งเป็นร้านที่มีเครือข่ายในหลายสิบประเทศ ส่งเสริมให้มีการทานมังสะวิรัติโดยประโยชน์ข้อหนึ่งก็คือจะช่วยเรื่องโลกร้อนได้ โดยระบุว่า....ด้านเศรษฐกิจระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ทำให้เกิดการทำลายป่า ซึ่งเป็นผลทำให้ความร้อนบนโลกสูงขึ้น...จึง  ....เป็นทางเลือกใหม่ในการดำรงชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพื่อความเมตตาเพื่อความสงบและเป็นหนทางเดียวในการรักษาโลกให้คงอยู่ต่อไป....ประเด็นนี้น่าสนใจเพราะหากน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น จะทำให้เกิดน้ำท่วมโลกแน่นอน แต่การทานมังสะวิรัติมีผลให้กระบวนการปล่อยก๊าซในบรรยากาศลดความร้อนลง

ในด้านจิตใจนั้น ได้ระบุว่า......อาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่สะอาดและไม่เบียดเบียนเลือดเนื้อของผู้อื่น จึงทำให้ร่างกายและจิตใจบริสุทธิ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีในการบำเพ็ญทางด้านจิตวิญญาณ......

ผมเห็นว่าประเด็นนี้น่าสนใจเพราะมีผลต่อโลกร้อนโดยตรงและเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ถ้าน้ำแข็งละลาย คนบนโลกไม่ว่าจะคนปรกติหรือพิการก็ต่างตกอยู่ในอันตรายเดียวกัน  สิ่งที่เราทำได้จึงอยู่ที่การช่วยลดโลกร้อน โดยเริ่มจากตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้มีกระแสหรือการรณรงค์ทั่วโลกเพราะถ้ารอไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิด แต่ด้วยตัวเองสามารถทำได้เลย ด้วยการทานมังสะวิรัติตามกำลังของเรา นอกจากนั้นการปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิแผ่เมตตาก็ช่วยได้เช่นกัน ในประเด็นนี้ผมได้เสนอให้คณะกัลยาณมิตรได้ทราบว่าการนั่งสมาธิแผ่เมตตาก็ช่วยส่งพลังความเมตตาซึ่งเป็นพลังบวกให้โลกซึ่งจะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงได้ เราลองนึกภาพดูว่าหากทุกคนในโลกจุดเทียนคนละ 1 เล่ม ความร้อนจากเทียนนั้นจะมากเพียงใด แต่หากดับเทียนกันบ้าง เช่นดับครึ่งหนึ่งแล้วเปลี่ยนจากเทียนเป็นน้ำแข็งคนละก้อน  ความร้อนจะลดลงแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่มองเห็นกันได้เป็นรูปธรรม แต่สำหรับจิตซึ่งเป็นนามธรรม จิตกุศลจิต อกุศลเกิดพลังบวกลบและพลังความร้อนไม่เท่ากัน

ลองพิจารณาดูว่าเวลาเราเกิดอารมณ์โกรธ โมโห เครียด ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไหม เลือดไหลเร็ว หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อบีบรัดอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คงบอกได้ แต่ความร้อนในจิตใจยังคงไม่มีใครวัดได้ คงดูจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ในขณะที่คนนั่งสมาธิหรือฟังสวดมนต์สงบนิ่ง ร่างกายก็เปลี่ยนเช่นกัน ความร้อนลดลงไหม น่าสนใจนะครับ

ก็ถ้าเปรียบดังที่ผมกล่าวมาแล้ว ถ้าจิตใจของคนร้อน (และระเบิดขึ้นมาในหลายเหตุการณ์) น่าจะมีผลต่ออุณหภูมิของโลกเช่นกัน เช่นเดียวกับคนที่จิตสงบแผ่เมตตา ก็น่าจะมีผลเช่นเดียวกัน ผมจึงได้เรียนกัลยาณมิตรว่าในแง่ของการปฏิบัติธรรม ผมไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเรา ถ้ามีรูปกับนาม มีกาย มีจิต สามารถปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐาน 4 (เวทนา กาย จิต ธรรม) ได้แน่นอน เผลอๆ ดีกว่าคนทั่วไปด้วย จึงได้เสนอให้คนพิการมีการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและอย่างกว้างขวาง เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์สำหรับตัวเองแล้วยังเกิดประโยชน์ต่อโลกโดยรวมด้วย

ส่วนความคิดต่อยอด ก็ขอให้นำไปคิดพิจารณากันเอง ผมถือว่าได้เปิดประเด็นแล้ว คือทานมังสะวิรัตและปฏิบัติธรรมช่วยโลกได้อย่างไร ก็ขอเชิญชวนช่วยกันคิดต่อไปครับว่าเราจะช่วยโลกได้หรือไม่อย่างไร เพื่ออนาคตของเราเอง

..................................................... 

หมายเลขบันทึก: 454394เขียนเมื่อ 17 สิงหาคม 2011 13:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม 2012 06:31 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

Ico24 มะปรางเปรี้ยว

และ Ico24 อ.นุ.

ขอบคุณมะปรางเปรี้ยวและ ท่าน ผ.ศ.ครับสำหรับดอกไม้กำลังใจ

ผมมีความรู้สึกว่า เราเป็นมนุษย์บนโลกนี้แต่เรา(รวมทั้งตัวเอง) นึกถึงโลกน้อยมากครับ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องนอกตัว ไกลตัว และอาจจะเห็นด้วยว่าโลกและธรรมชาตินั้นย่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์เล็กๆ อย่างเราจะไปทำอะไรได้

แต่ที่ผ่านมามนุษย์ตัวเล็กๆ แบบเรานี่ละครับ สามารถทำลายความสมดุลย์ของโลกและธรรมชาติได้ ซึ่งเท่ากับทำลายอนาคตของมนุษย์เราเองด้วย

ทางออกหนึ่งก็คือใครสามารถทำได้ก็ต้องทำเลยครับ

ขอบคุณและเจริญสุขนะครับ

 

Ico24 อักขณิช

ขอบคุณครับ ที่แวะมาให้ดอกไม้กำลังใจ

เมื่อคนพิการเป็นกัลยาณมิตรกันแล้ว ก็คิดถึงสิ่งดีๆ ที่จะทำให้กัน ทั้งนี้กัลยาณมิตรคือทุกคนในสังคมครับ 

เวลาเราเกิดอารมณ์โกรธ โมโห เครียด ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไหม เลือดไหลเร็ว หัวใจเต้นเร็ว กล้ามเนื้อบีบรัดอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้ ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์คงบอกได้ แต่ความร้อนในจิตใจยังคงไม่มีใครวัดได้ คงดูจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ ในขณะที่คนนั่งสมาธิหรือฟังสวดมนต์สงบนิ่ง ร่างกายก็เปลี่ยนเช่นกัน ความร้อนลดลงไหม

เป็นเรื่องน่าสนใจมากคะ 
เคยอ่านพบว่า นักวิทยาศาสตร์ฝรั่ง ตอนนี้ทำวิจัยทางสรีรวิทยา คนที่ทำสมาธิ
แล้วพบว่า จิตใจ กับ ร่างกาย สัมพันธ์กัน
ที่ร่างกายร้อนขึ้นนั้น ก็ด้วยจิตใจ (คลื่นสมองแปรปรวน)  ส่งผลให้ฮอร์โมนรวมถึงภูมิคุ้มกันต่างๆ แปรปรวนไปหมดเช่นกันคะ

พบว่าเวลาโกรธหัวใจเต้นเร็ว

พบว่าเคยนั่งภาวนาจนจิตเริ่มนิ่งแล้วเกิดความสุข

แต่พออารมณ์โกรธแทรกเข้ามา

เหมือนน้ำที่มีคนกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาทันทีครับ

Ico48

คุณหมอ

อุณหภูมิร่างกายคนปรกติ ระบุไว้ว่าประมาณ 37 องศาเซลเซียส ก็ลองคิดดูว่าประชากรโลกที่มีประมาณเกือบ 7 พันล้านคนก็คือพลังความร้อนที่แผ่อยู่ในบรรยากาศ ยังไม่นับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมาย แต่ความร้อนจะสูงขึ้นมาก หากจิตใจคนร้อนขึ้น จึงมิน่าแปลกใจที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าหากน้ำแข็งในขั้วโลกละลายเพราะอุณหภูมิโลกสูงขึ้นจนถึงระดับนั้น

น้ำท่วมโลกแน่นอนครับ แผ่นดินก็จะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ความคิดของผมก็คือเมื่อต้นทางอยู่ที่จิตใจ ก็น่าจะสามารถควบคุมอุณหภูมิของโลกได้ ด้วยจิตใจ...ผมคิดว่าน่าสนใจมาก แต่อาจหาคนเข้าใจยาก...ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายกัน

 

Ico48

ครับ อจ.โสภณ โกรธมากๆ ไม่สบายได้ เพราะร่างกายเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นครับ ดังนั้น พวกมนุษย์เราเองที่ทำให้โลกร้อนครับ จากหลายๆ อย่างที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติอยู่แล้ว ก็เพียงหวังครับว่า เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนแปลง มนุษย์จะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งเปลี่ยนแปลงนั้นได้

ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายกัน

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ที่นำมาฝาก มีประโยชน์มากค่ะ

Ico48

ยินดีครับ การได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับกัลยาณมิตร ไม่ว่าจะคือใคร ศาสนาใด สภาพอย่างไร ก็ล้วนได้ประโยชน์ทั้งนั้นโดยเฉพาะหากได้นำมาจัดการเผยแพร่เพื่อที่จะได้ต่อยอดกันต่อไป

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท