โดยปกติคนเรามักต้องการให้ทุกสิ่งเป็นดังใจ อยากมีสุข อยากสมหวัง อยากได้นั่น อยากได้โน่นสาระพัด ถ้าสาระพัดนึกได้ยิ่งดี เมื่อไม่ได้ ก็โศกเศร้า น้อยใจ เสียใจ ใจเสีย มีความทุกข์ตามมา
โดยท่าทีที่เหมาะควร เราสามารถทำใจให้เข้มแข็ง กำหนดใจให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ตั้งใจมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ได้ แต่เป้าหมายต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้ดังใจหรือไม่ยังไม่แน่นอน ไม่ได้ขึ้นกับใจอยาก แต่ขึ้นกับเหตุปัจจัยตามกฎแห่งธรรมหรือกฎแห่งกรรม บางครั้ง บางอย่างก็เป็นไปได้โดยไม่น่าเชื่อ บางครั้ง บางเรื่องก็ไม่น่าพลาดเลย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกสิ่ง “ไม่เที่ยงแท้แน่นอน”
โดยความเป็นจริงแล้ว ใจของคนเราไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงพอที่จะบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจอยากใจยึดได้เลย ถ้าจะเป็นได้ก็คือ การทำใจให้เข้าใจสรรพสิ่งที่เกิดที่เป็นว่าที่สุดแล้วมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นไปตามใจต้องการ หรือหากจะเป็นได้ก็เพราะศักยภาพของใจมีสูงเนื่องด้วยผ่านการฝึกใจมาดีจนถึงขั้นมีอภิญญาจิตเท่านั้น แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นสิ่งยั่งยืน เพราะสรรพสิ่งที่เป็น “สังขาร” คือ สิ่งที่ถูกปรุงแต่งมา ย่อมมีลักษณะเป็น “อนิจจัง” คือ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ทั้งในแง่ของการเป็นไปตามใจอยาก และทั้งในการทรงสภาพให้คงอยู่อย่างเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน
เพราะเหตุนั้น ในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนให้คนเรา “ไม่ยึดมั่นถือมั่น” เพราะไม่มีอะไรอยู่ยงคงที่ให้ยึดถือเลย ยึดถือไม่ได้เลย ยึดแล้วต้องทุกข์แน่นอน เพราะต้องผิดหวังอยู่เสมอๆ
เพราะฉะนั้น หากเราวางจิตวางใจ ปล่อยวางเสียได้ก็จะเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข เป็นธรรมะเชิงรับอีกข้อหนึ่งซึ่งจะส่งผลให้ทุกข์หายลับไปได้ ในส่วนเชิงรุกก็ต้องตั้งมั่นกันต่อไปในการทำความดี วางเป้าหมายดีๆ ไว้ในชีวิต แต่ในทางรับก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับหรือหรือปล่อยวางกับทุกผลปรากฎที่เกิดขึ้นให้ได้ อย่างนี้เรียกว่าคนที่พร้อมยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงเสมอ แล้วความสุขก็จะอยู่ไม่ไกลจากใจโดยไม่ต้องคาดหวังให้เหนื่อยยาก ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยสรุปก็คือ “ตั้งใจในความดีและเข้าใจในความจริง” นั่นเอง
หมายเหตุ
กฎไตรลักษณ์ข้อที่ ๑ คือ “สัพเพ สังขารา อนิจจา แปลว่า สรรพสิ่งที่เป็นสังขารล้วนไม่เที่ยง” คำว่า “ไม่เที่ยง” หมายถึง มีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
กฎไตรลักษณ์ข้อที่ ๒ คือ “สัพเพ สังขารา ทุกขา แปลว่า สรรพสิ่งที่เป็นสังขารล้วนเป็นทุกข์” คำว่า “เป็นทุกข์” หมายถึง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจากเดิมไป ไม่คงที่ถาวร สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็จะมีลักษณะเป็นทุกข์ด้วย
กฎไตรลักษณ์ข้อที่ ๓ คือ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า สรรพสิ่งที่เป็นสภาพธรรมทุกรูปแบบ(ทั้งสังขารและไม่ใช่สังขาร คือ นิพพาน) ล้วนไม่มีตัวตน ไม่เป็นไปตามอำนาจของตน ไม่ควรยึดถือ เพราะไม่มีแก่นสาระให้ยึดถือและยึดถือไม่ได้ตามสภาพความเป็นจริง
วางจิตโดยยึดเอาตาม กฎไตรลักษณ์ วันนี้ได้อ่านเกี่ยวกับฏฎ 3 ข้อนี้ สองรอบแล้ว
เปรียบเหมือนมีใครคอยมาเตือนให้เรายึดมั่น คอยบังคับจิตตน ให้ตรงสู่หนทางนี้
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ยึดถือมิได้
จึงเป็นหลักการสำคัญของพระศาสนา ดังว่านะครับ
สรรพสิ่งในโลกล้วน อนิจจัง
ไม่ให้หวังว่าดังใจได้ทุกอย่าง
แก่นแท้นั้นหมั่นทำใจให้ละวาง
ย่อมพบทางเห็นธรรมนำสุขเย็น