ณ วันที่ประเทศไทยกำลังพยายามพัฒนาทุกอย่างให้ก้าวหน้า มีสิ่งหนึ่งที่สวนทาง คือ ความสามารถในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองของ ประชาชน คนทุกอาชีพจึงมีความเจ็บป่วยสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลหนึ่งที่น่าขัน คือ หมอแทบทุกคนป่วยเป็นโรคกระเพาะ พยาบาลป่วยเป็นโรคเครียด เพราะวัน ๆ หนึ่งต้องก้มหน้าก้มตา รักษา พยาบาลผู้ป่วย นับร้อย ๆ คนที่มีความต้องการเป็นพันอย่าง ยังไม่นับคนที่ทำงานทุกคน ไม่ว่าจะใช้แรงงาน หรือใช้สมอง ต่างเจ็บป่วยด้วยโรคระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ เด็ก ๆ เริ่มป่วยจากการหมกมุ่นเทคโนโลยี สายตาสั้น (สมองฝ่อ) และทุโภชนาการ
หากมีนักเศรษฐศาสตร์คำนวนค่าความเสียหาย ออกมาได้ คงน่าต๊กใจมาก เพียงพอที่จะถามว่า เราหลงลืมพัฒนาความเข้มแข็งของปัจเจกชนไปหรือไม่ หากปล่อยปละไปเรื่อย ๆ อีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งสังคมไทยจะเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ คงเต็มไปด้วยผู้ป่วยอัมพฤก อัมพาต มะเร็งชนิดต่าง ๆ โรคระบบกล้ามเนื้อ และ คู่หู คู่ฮิต .. เบาหวาน ความดัน ค่าใช้จ่ายกี่หมื่นล้าน คงไม่พอ หมอ พยาบาล มากเท่าไหร่ คงไม่พอ
มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รอให้ภัยสุขภาพนี้คืบคลานมาหา ไม่รอให้ป่วย และพยายามคิดหาทุกวิธี ที่จะช่วยป้องกันตนเองให้รอดพ้นจากโรคภัย โดยการพึ่งตนเอง
ศูนย์หยาดน้ำใจ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ได้ค้นหาวิธีการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง และพบว่า แนวทางของหมอเขียว ใจเพชร กล้าจน เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และ มะเร็งอย่างยิ่ง จึงช่วยกันจัดตั้ง ศูนย์หยาดน้ำใจ เพื่อเป็นศูนย์ฝึกอบรมให้คนที่สนใจแนวทางของหมอเขียว ได้มาอบรมกันใกล้ ๆ ไม่ต้องไปถึงสวนป่านาบุญ จ.มุกดาหาร แล้ว....ฉันก็ไปสังเกตการณ์
ก่อนจะดูแลใคร ให้ใส่ใจตัวเราเองก่อน