หนังสือเรื่องตลิ่งสูงซุงหนัก โดย นิคม รายยวา รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์ ประจำปี ๒๕๓๑)
“คำงาย” = ชายคนซื่อ ผู้ไม่ยอมให้อะไรมายิ่งใหญ่กว่าความผูกพันระหว่างคนกับช้าง ผู้ที่ได้เรียนรู้ สัจธรรมของความเจริญ สัจธรรมของความเป็นมนุษย์ด้วยความเจ็บปวดของตนเองและความตาย
“มะจัน” = หญิงสาวผู้ทิ้งความหรูหรามาสู่บ้านไร่ริมธาร ผู้งดงามด้วยความคิดคำนึงและภรรยาที่ดีของสามี
“มนุษย์” = ผู้ชอบรังแก ชอบล้างผลาญชีวิต เห็นประโยชน์ของตนมากกว่าสิ่งอื่น ใด ชอบซาสิ่งไม่มีชีวิตมากกว่าสิ่งมีชีวิต
“พลายสุด” = ชื่อเต็มว่า “พลายสุดสง่า” แต่เนื่องจากถูก“มนุษย์”ขโมยตัดงาทั้งสองข้างไปความสง่าได้สูญหายไปพร้อมกับใบเลื่อยใบนั้น จึงทำให้ไม่มีใครเรียกว่า “สุดสง่า” ทั้งที่เมื่อก่อนนั้นมันสง่างามยิ่งนัก มีงาขาวเด่น มันอวบอ้วนและยาวงอน ชื่อของพลายสุดจึงกลายมาเป็น “พลายกุด” ตามที่ถูกเรียกขาน
เรื่องนี้เป็นการกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคนคนหนึ่งกับช้างตัวหนึ่ง เขาและมันเติบโตมาพร้อมกัน บ่อยครั้งที่ทั้งสองคุยกัน ช้างเจ็บก็เหมือนคนเจ็บ
นำเสนอถึงมนุษย์ใจทรามผู้ฉีดยาสลบแล้วใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดงาช้างลึกจนบาดเข้าไปถึงเนื้อ แผลอักเสบ ทรมานและสูญเสียความสง่างาม สูญเสียความร่าเริง
มนุษย์ที่ชอบยิงสัตว์แล้วนำมาสตัฟฟ์ เขาถือว่าการฆ่าสัตว์ต่างๆเป็นเรื่องธรรมดา การมีสัตว์สตัฟฟ์แปลกๆแสดงถึงศักยภาพของตนเอง
มนุษย์ผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จะให้ช้างลากซุงให้ได้ ทั้งตี ทั้งแทง โดยไม่คำนึงเลยว่า ขณะนั้นช้างอยู่ในสภาพใด ผลประโยชน์เท่านั้นที่มนุษย์รับรู้
สรุปสุดท้ายคนบนหลังช้าง ซุงที่ช้างลากกลิ้งตกจากตลิ่ง คนถูกซุงทับจมดินตายคาที่ ช้างและซุงพันกันด้วยโซ่ ทำให้ตีลังกาม้วนลงไปคู่กันหลายตลบ ช้างตายโดยที่มันไม่มีความผิด มันพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลากซุงท่อนใหญ่ท่อนนั้น...
“ไม่มีช้างตัวไหนยอมใครจริงๆ หรอกถ้าไม่มีตะขอ”
“รูปปั้นไม่มีทางเหมือนคนได้เลย เพราะมันเป็นซากไม่มีชีวิต แต่คนเหมือนรูปปั้นเพราะบางทีคนคล้ายซาก ไม่มีจิต ไม่มีใจ”
“ฉันเคยเดินทางไกล ได้พบเห็นอะไรหลายอย่าง แต่ของใกล้ที่มีความดีกับฉันมากที่สุด กลับมองไม่เห็น เหมือนไม่รู้จักมันเลย”
“บางทีคนเราก็ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด และเป็นอะไรได้มากกว่าที่เห็น”
“คนที่ไม่รู้ยังพอเข้าใจกันได้ แต่คนที่ไม่รู้แล้วไม่รู้ว่าตัวไม่รู้นั้นพูดกันยาก”
“ทุกคนมีช้างของตัวเอง ของใครของมันต่างคนต่างแกะ ทำแทนกันไม่ได้”
“สัตว์พวกนี้เคยมีชีวิตมาแล้วทั้งนั้น มีเลือด เนื้อ จิตใจ มันถูกยิงตายแล้วคนก็จะทำซากมันให้คล้ายมีชีวิต ควักไส้พุงมันออกปลิดหัวใจมันทิ้งแล้วมองหาชีวิตจากซากของมัน”
“พอลืมตาขึ้นตอนเช้า จะพบกับเวลาจำนวนมากมายกองอยู่กลางแสงแดด”
“ฉันมัวรักษาซากที่ไม่มีชีวิต ไม่เคยคิดรักษาชีวิตที่อยู่ในซากเลย”
“แกก็ลากซุง ทุกคนกำลังลากซุงอยู่ทั้งนั้น แต่เป็นซุงที่มองไม่เห็น”
เคยอ่านเช่นกัน เรื่องสั้น ยุคก่อนอ่านง่ายแทรกด้วยข้อคิดดีๆ
ขอบคุณที่ทำให้นึกถึงวรณกรรมดีๆ
อ่านไปนานหลายปีจำรายละเอียดไม่ค่อยจะได้
แต่สรุปแบบรวบยอดได้ว่า ซุงที่ทุกคนลากไป คือ กิเลส ใหญ่ 3 ตัวนั่นเองครับ
รู้แต่ว่าชอบสำนวนเล่มนี้ครับผม
ไม่รู้ว่าคนเขียนหายไปไหน ไม่เห็นรายชื่อหนังสือของเขาอีกเลย
ในระยะหลัง
...ทุกคนๆ....เป็นทาส..ตัวเอง....(เลิกไม่ได้..ทาส..ชนิดนี้)...อิอิ...