ไหม...คุณประโยชน์ที่ค้นพบอย่างไม่จบสิ้น ตอนที่ 1


เรื่องไหม ไหม

วิโรจน์  แก้วเรือง

 

          เมื่อ 5,000 ปีก่อน มนุษย์ยังไม่รู้จักประโยชน์ของตัวไหม ตราบจนกระทั่งมีตำนานกล่าวขานถึงที่มาของไหมว่าในแผ่นดินจีนเมื่อเกือบ 5,000 ปี ตรงกับสมัยพระจักรพรรดิหวงตี้ วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปล่าสัตว์ถึงเขาซีซัน ทรงพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเลี้ยงตัวไหมและเก็บรวบรวมรังไหมจำนวนมากจากต้นหม่อนใหญ่ที่เชิงเขา พระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเสด็จไปหาหญิงสาวผู้นั้น พร้อมตรัสถามว่า “ข้าพเจ้าอยากจะเรียนวิธีการเลี้ยงและสาวเส้นไหม ท่านจะสอนให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่?”  ฝ่ายหญิงสาวตอบว่า “คุณพ่อคุณแม่ได้สั่งไว้ว่าห้ามสอนผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของตน”เมื่อพระองค์ทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงรวบรวมความกล้าขออภิเษกสมรสกับหญิงสาวคนนั้น เธอก็คือเหลยจู่ ที่ตำนานจีนกล่าวว่าเป็นผู้ค้นพบวิธีปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และสาวไหมนั่นเอง

           อีกตำนานในหนังสือจีนโบราณฉบับหนึ่งชื่อไคเภ็ก กล่าวว่า เมื่อ 4,500 ปี พระนางง่วนฮุย พระมเหสีของพระเจ้าอึ้งตี่ ได้เสด็จสวนหลวงทอดพระเนตรเห็นตัวหนอนหลายตัวเกาะอยู่บนต้นหม่อน ต่อมาทรงเห็นตัวหนอนชักใยพันรอบตัวจึงหยิบมาพิจารณา เมื่อดึงออกมาจะเป็นเส้นๆ มีความเหนียวดี พระนางทรงดำริว่า ถ้านำมาทำเป็นผ้าแพรเนื้อคงดีกว่าปอป่านที่ใช้ทำเครื่องนุ่งห่มมาแต่ก่อน เมื่อพระนางสามารถเลี้ยงไหม ควบเส้นไหม ทอเป็นผืนผ้าสำเร็จตั้งแต่กาลครั้งนั้น และได้รับการถวายพระฉายาว่า “นางพญาแห่งการหัตถกรรมไหม

          การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอเป็นผืนผ้าไหมของจีน ถือเป็นความลับที่หวงแหนยิ่ง ตราบจนกระทั่งมีการนำผ้าไหมไปขายตามเส้นทางสายไหม (silk road) อันเลื่องชื่อ ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียพยายามจะเรียนรู้การทำไหม หลังจากนั้นราว 1,000 ปี การทำไหมจึงแพร่ขยายไปยังประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนและอินเดีย

          สำหรับเมืองไทย แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเกิดขึ้นเมื่อใด แต่ใน พ.ศ. 2515 ระหว่างการขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีครั้งใหญ่ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ได้พบหลักฐานที่เป็นผ้าของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย คือเศษผ้าติดอยู่กับกำไลสำริด ผ้าที่พบนั้นคงมีอายุเท่ากับอายุของกำไล คือ ประมาณ 2,400-2,800 ปี ซึ่งอายุจริงของวิธีทำผ้าอาจมีมาก่อน แต่ไม่มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ นอกจากที่บ้านเชียงแล้ว การขุดค้นยังพบหลักฐานเกี่ยวกับผ้าอื่นๆ จำนวนหนึ่งรวมทั้งไหมด้วย ที่บ้านนาดี จังหวัดอุดรธานี หลักฐานสำคัญที่พบคือ ด้ายที่ใช้เป็นสายสร้อยคอ ใยปั่นเป็นเกลียวทำเป็นด้าย ผ้าเป็นผืน พบเพียงเศษๆ และเส้นไหมซึ่งมีใยขนาดต่างๆ กัน แสดงว่ามีการใช้ผ้าไหมเป็นของพื้นเมืองในดินแดนแถบนี้มาช้านานแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ทั้งสองทางว่าเมื่อมีการย้ายถิ่นฐานของผู้คน อาจนำวัฒนธรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมติดตัวไปด้วย และอาจเรียนรู้จากคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วในดินแดนภาคพื้นเอเชียอาคเนย์  แต่การเลี้ยงไหมในสมัยโบราณคงไม่ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสันจนถึงกับเป็นการค้า นอกจากจะเลี้ยงไหมไว้เพื่อทอเป็นเครื่องนุ่งห่มใช้ในครอบครัวเท่านั้น เพราะมีหลักฐานว่ามีการค้าขายผ้าไหมกับจีนตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา สินค้าที่เรือสำเภาจีนบรรทุกมาค้าขายกับไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีผ้าแพรไหมรวมอยู่ในบัญชีสินค้า และในราชสำนักไทย เจ้านายทรง พัสตราภรณ์ที่ตัดจากผ้าไหมจีน รวมถึงผ้าไหมญี่ปุ่นและผ้าไหมอินเดียด้วย

          ไหม เป็นแมลง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx mori อยู่ในวงศ์  Bombycidaeไหมเป็นแมลงมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์(completely metamorphosis insect) แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ไข่(silkworm egg) ตัวหนอน(silkworm) ดักแด้(silk pupa) และผีเสื้อ(silk moth) มีเพียงระยะตัวหนอนเท่านั้นที่กินอาหาร ซึ่งจะนำสารชนิดต่างๆจากใบหม่อนไปสร้างความเจริญเติบโต โดยผ่านการย่อยและดูดซึมเป็นปริมาณ 1ใน 3 ของสารอาหารทั้งหมด ครึ่งหนึ่งของโปรตีนที่ดูดซึมจากใบหม่อนจะถูกนำไปใช้ผลิตสารไหม(silk protein) ได้แก่ซิริซิน หรือเซริซิน(sericin)เป็นกาวไหมหุ้มเส้นไหมที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นโปรตีนไฟโบรอิน(fibroin) เมื่อหนอนไหมถึงวัย5 วันแรกต่อมไหม (silk gland)จะหนักเพียง  6.36% ของน้ำหนักตัวไหม เมื่อไหมสุกก่อนเข้าทำรัง ต่อมไหมจะหนักถึง 41.97% จะเห็นว่าปลายวัย5 สารอาหารโดยเฉพาะโปรตีนเกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นสารที่จะใช้ชักใยทำรัง และเป็นเส้นใยที่มีคุณค่ามหาศาลหาที่เปรียบมิได้ หลังจากที่มีการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ไหมมากกว่า 2,000ปี ทำให้หนอนไหมและผีเสื้อไหมสูญเสียคุณลักษณะเดิมไปหมดแล้ว ไม่สามารถบินได้ หรือหาอาหารกินเองในธรรมชาติได้ ทำให้การเลี้ยงไหมและการจัดการสะดวกสบายขึ้น ทุกวันนี้เส้นใยไหมนอกจากจะใช้เป็นแพรภัณฑ์อันวิจิตรงดงาม ยากที่เส้นใยอื่นจะเทียบเทียมได้แล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆได้มากมายหลายอย่าง เช่นเดียวกับการนำหนอนไหม ดักแด้ไหม และมูลไหมมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

                คุณประโยชน์ของไหม มีการค้นพบอย่างไม่จบสิ้น

                1. สิ่งทอ ไหมเป็นสิ่งทอที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งของอื่นๆ จนได้รับสมญานามว่า “ราชินีแห่งเส้นใย”แม้ไหมจะมีข้อเสียคือ ยืดหยุ่นได้น้อย ยับง่าย และซักยาก แต่ข้อเสียเหล่านี้ก็ได้กำจัดหรือทำให้ลดน้อยลงไป โดยการใช้สารเคมีหลายชนิดในขบวนการผลิต เพื่อทำให้ผ้าไหมซักง่ายขึ้น ลดการยับและลดการทำให้ผ้าเหลืองลงได้ ยังมีการพัฒนาเส้นไหมดิบให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการตีเกลียวเส้นไหมในทิศทางกลับกันและถี่ขึ้น ใช้เส้นใยที่มีขนาดใหญ่ เส้นใยชนิดนี้จะมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ดี กำจัดข้อเสียต่างๆ ออกได้ ด้วยความเป็นเส้นใยที่ได้จากสัตว์ ไหมจึงได้เปรียบเหนือกว่าฝ้าย ไหมมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการระบายอากาศ ดูดซับความร้อน ทำให้ร่างกายสบาย มีการดูดซับน้ำและระบายความชื้นได้ดี สามารถดูดซับน้ำได้มากกว่าฝ้าย 1.5 เท่า แต่ระบายความชื้นได้เร็วกว่า 50% และดูดซับความร้อนไว้ที่เนื้อผ้าได้สูงกว่า 13-21% ปกติอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์บริเวณเต้านม และต้นขาประมาณ 33.3-34.20ซ. เมื่อสวมใส่ชุดผ้าไหมจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายบริเวณดังกล่าวลดลงเหลือ 31-330 ซ. แต่ต้องไม่ใช่ชุดผ้าไหมที่ซับในด้วยผ้าที่ผลิตจากเส้นใยชนิดอื่นนะครับ ดังนั้น จึงทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกอบอุ่นในฤดูหนาว แต่จะเย็นสบายในฤดูร้อน ไม่เหนียวเหนอะหนะเวลาสวมใส่ผ้าไหม ด้วยเหตุผลดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ที่มีอากาศร้อนและหนาวในรอบ 1 ปี จึงพัฒนาชุดชั้นในที่ทำด้วยเส้นใยไหม ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ นอกจากจะใช้ผ้าไหมเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้วยังใช้เป็นเคหะสิ่งทอ อาทิ ผ้าม่าน และผ้าหุ้มชุดเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ในอดีต ถุงน่องสุภาพสตรี ทำจากไหมเพียงอย่างเดียว ภายหลังใยสังเคราะห์ไนล่อน เข้ามาทดแทนไหมได้เกือบสมบูรณ์ เนื่องจากมีความเหนียวและทนทาน ยึดหยุ่นดีและราคาถูก แต่ไหมยังดีกว่าไนล่อนอยู่มากกว่าในด้านการสัมผัส การดูดซับความร้อนและระบายอากาศ จึงได้มีการพัฒนาเส้นไหมผสม (hybrid Silk) เพื่อรวมคุณสมบัติที่ดีของเส้นใยทั้ง 2 ชนิดไว้ด้วยกัน

                2. เครื่องสำอาง โปรตีนไหม ชนิดไฟโบรอิน(silk fibroin) เป็นเลิศแห่งมอยซ์เจอไรเซอร์ ที่สามารถใช้ความชุ่มชื่นสูงถึง 300 เท่า ของน้ำหนัก มีสารช่วยป้องกันผิวแห้ง มีสารลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและสารต้านไวรัส เป็นผงโปรตีนไหมสกัดจากเส้นไหมที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับผิวหนังด้วยกระบวนการทางชีวเคมีดุจเดียวกับธรรมชาติผิว นั่นเป็นสรรพคุณของไหมที่บริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ผลิตครีมบำรุงความชุ่มชื่นผิวจากโปรตีนไหม กล่าวถึงไหมนอกจากจะครองความเป็นเลิศในเรื่องของเส้นใยแล้ว ยังเป็นวัสดุที่มีคุณค่า เมื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาพัฒนา เนื่องจากเส้นใยไหมส่วนใหญ่ (90%)เป็นโปรตีนที่มีความใกล้เคียงกับโปรตีนที่พบในร่างกายมนุษย์ ซึ่งยากยิ่งที่สารสังเคราะห์อื่นใดจะทำได้เสมอเหมือน โปรตีนจากเส้นไหมซิริซินส่วนใหญ่จะถูกความร้อนชะล้างออกไปเมื่อต้มรังในการสาวไหมเพราะเป็นกาวเหนียว มีเพียงไฟโบรอินที่ใช้ทำเป็นเส้นใย ดังนั้นในอดีตงานวิจัยจึงมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากไฟโบรอิน เมื่อ 60ปีก่อน บริษัทเครื่องสำอางคาเนโบ แห่งประเทศญี่ปุ่น ได้นำไฟโบรอินมาหลอมให้อยู่ในรูปของสารละลายก่อนที่จะทำเป็นผงและครีม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อันดับแรกที่ทำจากไหม โดยใช้เป็นเครื่องสำอางแต่งหน้าให้กับผู้แสดงละครคาบูกิ (kabuki) ที่จำเป็นต้องพอกหน้าด้วยเครื่องสำอางอย่างมากทำให้ผู้แสดงรู้สึกสบายผิวมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อต้องแสดงกลางแจ้งสามารถป้องกันอันตรายจากแสงอัลตร้าไวโอเลท (UV light)และที่สำคัญเครื่องสำอางชนิดนี้เข้ากับผิวหน้าได้ดีกว่าชนิดอื่น ต่อมา บริษัทได้ผลิตโพลิเมอร์ไหม (silk polymer)ที่ทำจากไฟโบรอิน เพื่อใช้ในวงการเสริมสวย โดยมีสรรพคุณในการป้องกันเส้นผมเสียในขณะตกแต่งหรือเปลี่ยนทรงผม ปัจจุบัน ครีมรองพื้น ครีมแต่งหน้า และครีมทำความสะอาดจะมีไฟโบรอินจากไหมเป็นส่วนผสม ญี่ปุ่นประเทศเดียวมีการใช้ไหมทำเครื่องสำอางถึงปีละ 5-6 ตัน

            กรมหม่อนไหม เมื่อครั้งยังเป็นสถาบันวิจัยหม่อนไหม สังกัดกรมวิชาการเกษตรได้วิจัยร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยรังสิต พบว่าผงไหมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนัง กำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย จึงได้คิดผลิตสบู่ไหมที่มีส่วนผสมของผงไหมจากเส้นไหมพันธุ์ไทยที่มีคุณสมบัติดีกว่าไหมพันธุ์ต่างประเทศ  พร้อมทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตรสบู่ไหมไทยแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ก่อนที่พระองค์จะพระราชทานสิทธิบัตรให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป

**โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...

หมายเลขบันทึก: 451359เขียนเมื่อ 29 กรกฎาคม 2011 10:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

แวะมาเรียนรู้ค่ะ และจะติดตามนะค่ะ

อาจารย์ครับ ได้ความรู้ดีมาก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท