ที่สุดแห่งชีวิต


การหมั่นพิจารณาความตาย การทำกรรมดี และ การฝึกสติ เป็นสิ่งที่บุคคลพึงตระเตรียมอย่างสม่ำเสมอและอย่างเนิ่นๆ ...

ชั่วแค่เวลาเพียงหนึ่งเดือน ผู้เขียนได้พบกับการจากไปของผู้คนที่รู้จักใกล้ชิดถึงสามราย ต่างกรรม ต่างวาระ เป็นการย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องได้รับไม่มีการยกเว้น เป็นความจริงที่รุนแรง กระแทก กระทบใจให้รู้สึก ให้คิดพิจารณา

  • รายแรก เป็นรุ่นน้อง นิสัยใจคอน่ารัก เป็นคนดีมาก ไม่เคยเป็นพิษภัยแก่ใคร วัยยังสาวมีลูกชายอายุแค่สองขวบเศษ ปีที่แล้วนี้เองน้องคนนี้และสามีเธอ ยังอุ้มลูกมาให้ชื่นชมเมื่อครั้งนัดทานข้าวกลางวันกลางกรุงเทพ ดูชีวิตน่าจะมีความสุข ไม่คาดคิดว่าน้องจะตัดสินใจโดดตึก จบชีวิตตนเองแบบนี้
  • รายที่สอง เป็นคุณยายของคนที่รู้จักสนิทดี คุณยายวัยเก้าสิบสอง ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ดูเหมือนคุณยายยังเป็นห่วงอาลัยลูกหลานมาก เมื่อคุณยายสิ้นลม น้องที่รู้จักคนนี้มีความเสียใจอย่างมาก แม้ว่าจะทราบดีล่วงหน้าว่าอย่างไรในท้ายสุด คุณยายก็จะต้องจากไป
  • รายที่สาม เป็นน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ชาวG2K รู้จักกันดี คือ คุณหนานเกียรติ – เกียรติศักดิ์ ม่วงมิตร ซึ่งประสบอุบัติเหตุรถยนต์ เป็นการจากไปที่กระทันหันผู้เขียนได้ร่วมงานกับคุณหนานเกียรติสองสามครั้ง คุณหนานเกียรติก็เคยมาที่บ้านริมน้ำป่าสักแห่งนี้ ผู้เขียนได้สัมผัสถึงความเป็นคนมีจิตใจงาม เป็นคนคิดดี มีความมุ่งมั่น ชอบช่วยเหลือผู้คนและสังคม

 

ผู้จากไปทั้งสามท่าน จากไปด้วยสาเหตุต่างๆกัน ทุกท่านล้วนเป็นคนดี ทุกครั้งที่ได้ทราบข่าวการจากไปของผู้คนที่รู้จัก รวมทั้งเหล่าทหาร-ตำรวจที่เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ ก็จะสวดมนต์ยาวๆทั้งเพื่อสงบใจตนเอง และอุทิศส่วนกุศลให้ผู้จากไป ไปดี ไปสู่สุคติ แผ่เมตตาให้กับครอบครัวที่ยังอยู่เบื้องหลัง และ ยังเป็นการเจริญมรณสติแก่ตนเองอีกด้วย

ผู้เขียนได้อ่านหนังสือเรื่อง “ตายไม่มี” ที่พระศรีญาณโสภณ หรือท่าน ปิยโสภณ เขียนขึ้นเพื่อให้คนกล้าต่อสู้กับความเป็นจริง กล้าหาญต่อสัจธรรม ต่อธรรมชาติ ไม่มองความตายว่าเป็นเรื่องโหดร้ายที่มาพรากคนที่เรารักให้จากไปอย่างไม่มีวันจะได้พบหน้ากันอีก จึงขอคัดข้อคิด ข้อความบางตอนมาฝาก...

“...สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณามรณสติเพื่อบรรเทาความเมาในชีวิต เมาในเวลา ในความประมาท ก็เพราะต้องการให้คนมีสติตื่นตัว ให้รู้ว่า ความตายอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น เรารู้วันเวลาเกิดได้ แต่เวลาตายรู้ไม่ได้และไม่มีทางจะรู้ด้วยหากไม่เจริญมรณสติเป็นประจำ 

การเจริญมรณสติ คือ นึกถึงความตายบ่อยๆ อย่างนี้จะสอนใจให้กล้าเผชิญความจริงได้ไม่ยาก

ขณะที่เราเศร้าโศกเสียใจกับการสูญเสียพลัดพรากไปของจิตดวงนี้ อาจมีจิตอีกหลายร้อยดวงในต่างมิติ ที่รอคอยสัมผัสรอยยิ้มของชีวิตน้อยๆในมิติใหม่ของเขา

การมา การไป เป็นเพียงการเปลี่ยนขั้วของความรู้สึก สุดแต่ว่าเราจะอยู่มิติใดของการเดินทาง...

...ถ้าเปรียบร่างกายเหมือนเรือ การตายอาจจะเป็นเหมือนคนสละเรือที่กำลังจะจมน้ำ แล้วรีบขึ้นฝั่งให้ปลอดภัย หรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เราย่อมช่วยเหลือเอาชีวิตของคนไว้ก่อน มากกว่าจะรักษาเครื่องยนต์กลไกซึ่งใช้ไม่ได้แล้ว

เช่นเดียวกับ ผู้รักษาชีวิต ย่อมเห็นว่าดวงจิตสำคัญกว่าร่างกายที่ใช้การไม่ได้แล้ว จึงแยกออกจากกันไปก่อน แล้วรวมกันในเสี้ยวแห่งมิติใหม่ภายหลัง ซึ่งเราสมมุติสภาวะนี้ว่า เกิด ...

...สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสอนให้เราทำความดี เพื่อให้คุณค่าของชีวิตเราเป็นอมตะ คือ ไม่ตาย เพื่อทดแทนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังขารร่างกาย เพราะตัวชีวิตตายได้ แต่คุณค่าของชีวิตทำให้เป็นอมตะได้...”

 

พระไพศาลวิสาโล  กล่าวไว้ในบทความ “เผชิญความตายด้วยใจสงบ ตอนหนึ่งว่า “...เพราะเราทุกคนล้วนต้องตาย ไม่ช้าก็เร็ว ที่สำคัญคือ ตายได้เพียงครั้งเดียว เราจึงต้องเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด การเตรียมตัวเพื่อที่จะตายดียังเกี่ยวเนื่องกับการมีชีวิตอยู่ ดังคำกล่าวที่ว่า เราอยู่อย่างไร ก็ตายอย่างนั้น เพราะเราเป็นผู้กำหนดสภาพการตายของเราเอง...

...การหมั่นทำความดี สร้างกุศลอยู่เสมอ เมื่อเผชิญกับความตายย่อมมีความอุ่นใจและมั่นใจได้ว่าได้ไปสุคติ

การหมั่นพิจารณาความตาย การทำกรรมดี และ การฝึกสติ เป็นสิ่งที่บุคคลพึงตระเตรียมอย่างสม่ำเสมอและอย่างเนิ่นๆ ....”

 

ขอบุญกุศลที่ท่านผู้จากไปทั้งหลายได้ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเตือนตนสู่          การเจริญมรณสติ อยู่เสมอ จงมีส่วนนำพาให้ดวงวิญญาณของท่านทั้งหลายได้ไปสู่สุคติด้วยเทอญ.

หมายเลขบันทึก: 450392เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011 12:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ขอบคุณข้อคิดดีๆค่ะ...ยิ่งอายุมากขึ้น(อย่างพี่ใหญ่)..ยิ่งประจักษ์ชัดในความไม่เที่ยงแท้และสัจจธรรมเหล่านี้..พวกเราจึงควรย้อนมาพิจารณาตนเอง..เพื่อฝึกเตรียมความพร้อมของสติและจิตในการละวางสังขารและสรรพสิ่ง..ก่อนที่ทุกอย่างจะทิ้งเราไปก่อนจะทันรู้ตัวทั่วพร้อม..

ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่นำมาแบ่งปันให้แง่คิดที่ดี ขอบคุณค่ะพี่นุช

พี่ใหญ่มาร่วมรำลึกถึง น้องหนานเกียรติ ด้วยบันทึกจากใจอีกหนึ่งเรื่องค่ะ :

เฌวา ลูกยอดปรารถนาของพ่อหนานเกียรติ-แม่กวาง :

http://www.gotoknow.org/blog/nongnarts/450291

ภาพประทับใจ จากไฟล์น้องคิม นพวรรณ

....สาธุ..เจ้าค่ะ...เข้าร่วม..เจริญสติ..กับสะพานบุญ..และเข้าถึงซึ่งทางสายกลาง..ทุก..ตัวตนที่ยังชีวิตอยู่..เห็นแจ้งใน..อนิจจัง..ทุกขัง..อนัตตา.....กับ..ธรรมที่คุณนุช...แนะมาในบล้อกนี้.(ผลแห่งการวิปสนาภาวนาการเจริญมรณสติ).เจ้าค่ะ....ยายธี

การจากไปก่อนวัยอันควร ของน้องหนานเกียรติ

ทำให้เราเศร้าซึมไปทั้งบ้านgotoknow

เราที่ยังมีชีวิต ต้องทำความดี สะสมความดี...

และต้องมีสติรู้ตน...นะคะ

  • ขอบพระคุณมากค่ะ
  • "เราอยู่อย่างไร ก็ตายอย่างนั้น"
  • เป็นถ้อยคำที่ลึกซึ้งมากค่ะ

สวัสดีค่ะ พี่นุช

ได้คิดตาม ทบทวน...แล้วเกิดสติเตือนตนเองจริงๆค่ะ...

ขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ'คุณนายดอกเตอร์'

มีเวลาได้อ่านและชื่นชมบันทึกที่มีคุณค่าค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

  • เอามาฝากพี่นุช
  • ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี เขียนเตือนสติพวกเราในหนังสือ หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่นว่า

 

  ความตายเป็นขั้นตอนหนึ่ง ของการทำชีวิตให้สมบูรณ์ ซึ่งจะต้อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เช่นเดียวกัน

 

 

  วันนี้เป็นทีของเขา วันหน้าอาจเป็นทีของเรา ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้ว ชีวิตเราอาจไม่ประมาท เมื่อเราไม่ประมาท เราจะตั้งคำถามว่า ชีวิตที่เหลือ เราจะทำอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด…

ขอบคุณครับ...

  • ลืมอ้างอิงว่าเอามาจากที่นี่ครับ
  • http://www.gotoknow.org/blog/yahoo/449837
  • ฝนตกหนักไหมครับ
  • เพื่อนที่บางบาลบอกว่าถ้าตกอีกท่วมแน่ๆๆ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท