ผลกระทบที่เกิดจากการยิงจรวดและการทดลองอาวุธนิวเคลียร์สองครั้งของเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือได้ทำการยิงจรวด (Long-range Rocket, the Unha) อันเป็นความพยายามที่ล้มเหลวในการทดลองปล่อยดาวเทียมสื่อสารเข้าสู่วงโคจร เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ค.ศ.๒๐๐๙ ท่ามกลางแรงกดดันของนานาชาติและเป็นการละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ ๑๗๑๘ เกาหลีเหนืออ้างว่า การยิงจรวดดังกล่าวสามารถปล่อยดาวเทียมสื่อสารเข้าสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จ แต่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ยืนยันว่า การยิงจรวดดังกล่าวนั้น เกาหลีเหนือจัดฉากเพื่อทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป และชุมชนระหว่างประเทศมีปฏิกิริยาทางลบกับการยิงจรวดของเกาหลีเหนือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของเกาหลีเหนือที่ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ ๑๗๑๘ โดยระบุว่า การยิงจรวดของเกาหลีเหนือเป็นการฝ่าฝืนมติขององค์การสหประชาชาติ ที่ห้ามเกาหลีเหนือพัฒนาเทคโนโลยีขีปนาวุธ พร้อมกับเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการทดลองยิงขีปนาวุธ และเตือนว่าจะขยายมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ ส่งผลให้เกาหลีเหนือแสดงความไม่พอใจ และออกแถลงการณ์ตอบโต้ซึ่งระบุว่าเกาหลีเหนือไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเสริมสร้างอำนาจกำลังรบด้านอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากกองกำลังของศัตรู พร้อมทั้งประกาศถอนตัวออกจากการเจรจา ๖ ฝ่าย เพื่อเป็นการตอบโต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ออกแถลงการณ์ประณามเกาหลีเหนือ ที่ทำการปล่อยจรวด เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ค.ศ.๒๐๐๙ โดยในแถลงการณ์ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือระบุว่า เกาหลีเหนือจะไม่เข้าร่วมการเจรจาดังกล่าวอีกต่อไป และประกาศว่าจะเริ่มกลับมาเดินเครื่องโรงงานผลิตพลูโตเนียมและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่ยองเบียนอีกครั้ง หลังจากที่ได้ระงับโครงการตามข้อตกลงในการเจรจา ๖ ฝ่าย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๐๗ เกาหลีเหนือได้ดำเนินการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่สอง ในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๐๙ กดดันให้เกาหลีใต้ เข้าร่วมซ้อมรบกับกลุ่มกองทัพนานาชาติในโครงการจำกัดการแพร่กระจายอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรง (Proliferation Security Initiative, PSI) ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีมากขึ้น แม้ก่อนหน้านี้เกาหลีใต้จะพยายามลดการเผชิญหน้ามาโดยตลอด เพียง ๒ วัน หลังจากที่กองทัพเกาหลีใต้เข้าร่วมฝึกซ้อมทางทะเลในเขตเมืองปูซาน ร่วมกับกลุ่มประเทศในโครงการจำกัดการแพร่กระจายอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรง (Proliferation Security Initiative, PSI) ทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีขึ้นมาทันที เกาหลีเหนือประกาศยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง (Armistice Agreement) ที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๕๓ พร้อมทั้งเตือนว่า เกาหลีเหนือจะตอบโต้ด้วยปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ หากเรือของเกาหลีเหนือถูกปิดล้อมโดยกองกำลังนานาชาติ แม้เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ จะออกมาระบุว่าการซ้อมรบในครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายเป็นพิเศษต่อประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่นายคาร์ล เบคเค่อร์ (Carl Baker) ผู้อำนวยการกลุ่มศึกษาภาคพื้นแปซิฟิค จากสถาบันวิเคราะห์ด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ บอกว่า มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่เกาหลีใต้คิดไว้อยู่ในใจ นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ประเทศในภาคพื้นแปซิฟิคบอกว่า เป็นที่รู้กันว่าในกรณีนี้ เกาหลีใต้พุ่งเป้าและส่งข้อความไปถึงเกาหลีเหนือ และเห็นได้ชัดเจนว่าเกาหลีเหนือคือประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายอาวุธร้ายแรง เกาหลีเหนือออกมากล่าวหาเกาหลีใต้ว่า เป็นฝ่ายละเมิดการข้อตกลงเจรจาหยุดยิงเมื่อปี ค.ศ.๑๙๕๓ (พ.ศ.๒๔๙๖) เพราะการเข้าร่วมกับโครงการจำกัดการแพร่กระจายอาวุธที่มีอำนาจทำลายร้ายแรง (PSI) ของเกาหลีใต้เท่ากับเป็นการปิดกั้นเส้นทางเดินเรือทางทะเล นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังประกาศกร้าวว่า นี่เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม กองทัพเกาหลีใต้ส่งเรือกวาดทุ่นระเบิด ๒ ลำ เรือยกพลขึ้นบกและเรือดำน้ำ ๔ ลำ เข้าร่วมฝึกซ้อมเป็นครั้งแรก ร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในโครงการ PSI ในน่านน้ำเกาหลีใต้ ขณะที่กองทัพเรือสหรัฐฯ ส่งเรือพิฆาตติดจรวดนำวิถี เช่นเดียวกับกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น และกองทัพเรือออสเตรเลีย ก็ส่งเรือรบและเครื่องบินเข้ามามีร่วมปฏิบัติการซ้อมรบผสม อีกทั้งยังมีหลายประเทศที่เข้าไปร่วมสังเกตการการฝึกซ้อม ในแรกเริ่มนั้น เกาหลีใต้ไม่เต็มใจนักที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับโครงการ PSI ที่ก่อตั้งเมื่อ ๗ ปีก่อน เพราะนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการมีบทบาทใกล้ชิดกับเกาหลีเหนือมากขึ้นตามแผนการรวมชาติ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในเกือบ ๑๐๐ ประเทศที่เข้าร่วมอย่างเต็มตัว หลังจากเกาหลีเหนือทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ค.ศ.๒๐๐๙ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ในอดีตนั้น เกาหลีเหนือมีบทบาททั้งซื้อและขายอาวุธมาตลอด
ดร.จักษวัชร ศิริวรรณ
การที่เกาหลีเหนือ..ทำการยิงจรวด (Long-range Rocket, the Unha)นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเกาหลีเหนือได้ทำการละเมิดมติคณะความมั่นคงของสหประชาชาติ..ทั้งนี้เกาหลีเหนือได้ชี้ถึงเจตนาและวัตถุประสงค์เพื่อกดดันเกาหลีใต้อย่างเห็นได้ชัด..แสดงถึงการคุกคาม..เกาหลีใต้อย่างชัดเจนทั้งยังมีการยิงตอร์ปิโดจมเรือคอร์เวต, ชอนอาน ระวางขับน้ำ ๑,๒๐๐ ตัน ทำให้ทหารเรือเกาหลีใต้เสียชีวิต ๔๖ นาย ดังนั้นกระผมเห้นด้วยอย่างยิ่ง..ที่เกาหลีใต้ตัดสินใจในการซ้อมรบกับสหประชาชาติ..เพื่อแสดงให้เห็นถึงสักยภาพของเกาหลีใต้..และความพร้อมรบ..เพราะการยิงจรดคราวนี้ของเกาหลีใต้ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรแอบแฝงอย่างแน่นอน...
การที่เกาหลีเหนือได้ทำการซ้อมยิงขีปนาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่การที่ผิดคือเกาหลีเหนือได้มีการละเมิดสนธิสัญญาที่มีต่อเกาหลีใต้ข้อตกลงเจรจาหยุดยิงเมื่อในปี ค.ศ 1953 หรือ พ.ศ.2496 โดยอ้างเหตุผลเพียงแค่ว่าเกาหลีใต้ละเมิดข้อสัญญา เพียงเพราะเกลาหลีใต้นั้นได้ร่วมการซ้อมรบกับประเทศพันธมิตรแค่นั้นเอง ทำให้เกาหลีเหนือกลัวว่าเกาหลีใต้จะอาศัยในช่วงซ้อมรบนี้ยิงประเทศตนเกากลีเหนือจึงได้ทำการเปิดฉากยิงก่อนทำให้เกาหลีใต้ได้รับความเสียหายและประเทศพันธมิตรได้รับความเสียตามไปด้วย ดังนั้นไม่ผิดหรอกที่เกาหลีใต้จะเตรียมตัวเต็มอัตราศึกที่จะรับมือเกาหลีเหนือ จากข้อความที่ ดร.จักษวัชร ศิริวรรณ ได้โพสตไว้ในข้างต้นนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก ผมเห็นด้วยกับที่ท่านพูด
ผมคิดว่าการที่เกหลีเหนือ..ทำก่รยิงจรวจนั้ีนเป็นการขัดคำสั่งของมติสหประชาชาติอย่างจงใจ..เพื่อที่จะกดดันเกาหลีใต้..ซึ่งอาจเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างสองประเทศ..แล้วเกาหลีเหนือยังยิงเรือรบเกาหลีใต้อีก..เพื่อแสดงศักยภาพด้านทหารเป็นการข่มขวัญเกาหลีใต้..อย่างเห็นได้ชัด..การที่เกาหลีใต้ร่วมซ้อมรบกับสหประชาชาตินั้นถือเปงการแสดงถึงสักยภาพทางการทหารและความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเปงการกดดันเกาหลีเหนือไม่ให้ทำการอันเกินเลยลุกล้ำทำสงครามกับเกาหลีใต้อีกด้วย