วันนี้เป็นวันที่ผมได้มีโอกาสกลับมานั่งลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ในแฟลตที่พักราคาสี่สิบล้านบาทที่ถูกสร้างโดยงบประมาณของแผ่นดิน หลังจากที่หายจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เก่าๆ เครื่องนี้ไปหลายวัน เพื่อกระทำภาระกิจอันยิ่งใหญ๋
ช่วงเวลาที่สมองกำลังฟุ่งซ่านอยู่นั้น ในสมองได้ฉายภาพประโยคที่เคยรับรู้และบันทึกไว้ในสมองขึ้นมาอย่างโดดเด่นจนอดที่จะคิดถึงมันไม่ได้
"อย่าให้ปลาแก่เขา จงสอนให้เขาตกปลากินเอง" ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินหรือได้เสพประโยคนี้มาจากไหน มีความสะกิดใจอยู่นิดหนึ่งว่า อาจจะเป็นคำของท่าน ว วชิรเมธีในรายการสาระธรรมเพื่อมวลชน หรือเปล่า
ข้อความข้างต้นช่างปรากฏขึ้นในช่วงเวลาที่พอเหมาะ คือในช่วงหลังการเลือกตั้งที่มีการตั้งคำถามในนโยบายต่าง ๆ ที่มันจะเกิดขึ้นตามคำประกาศของว่าที่รัฐชุดใหม่ แต่ความพอเหมาะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความเหมาะว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มันอยู่ที่การหาเสียงที่เรียกว่า "การนำเสนอนโยบาย"
นโยบายที่ว่าก็คือ "นโยบายที่เรียกว่าอะไรก็ตามที่มีสาระในทำนองประชานิยม" นับว่าเป็นนโยบายที่กระแทกหัวใจของคนสวนมาก โดยเฉพาะคนอยากจะรวยแต่ไม่มีทางจะรวย หรือจากจะกินก็แทบจะไม่ได้กิน
คำถามที่ตามมาคือว่า ในเมื่อนโยบายช่วยเหลือมหาชนอยู่อย่างมากแต่ทำไมคนเหล่านี้ยังไม่หลุดพ้นสักที ยังมีเกลื่อนเต็มชาติ ที่เคยสงสัยมานานซึ่งก็ทำให้ได้รับทราบคำตอบที่นับว่าตรงที่สุดในวันที่เราไม่ได้ตั้งใจจะค้นหาคำตอบ
"เพราะรัฐเคยให้แต่ปลาเรากิน ไม่เคยสอนให้เราจับปลาเอง" คนทั่วๆๆๆๆไปจึงยังต้องจนตลอดกาล
วันนี้คงต้องทบทวนได้แล้วว่านโยบายที่เน้นการให้แล้วหมดไปมันแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ? หรือว่ามันเป็นเพียงพาราแก้ปวดที่ทุเลาอาการยากของมนุษย์ให้ยอมสยบภายใต้รัฐผู้ที่จ่ายอย่างแก้ แต่ไม่จ่ายยารักษา