นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

พลังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่


พลังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่

พลังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่

                เด็กหนุ่มนั่งหลับบนโต๊ะในแถวหน้าของชั้นเรียน เป็นกิจวัตรและลักษณะประจำตัวของเขา จนบอกได้ว่าเป็นสันดานที่แก้ไม่ตกประดุจดั่งหม้อที่ขูดไม่ออก แต่หาใช่ว่าเพื่อนและอาจารย์จะชิงชังไม่

                ด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่หาได้สำคัญไม่ จากสิ่งที่เขาเป็นและกำลังจะเป็นไปในสิ่งที่สังคมที่เรียกว่าสังคมอุดมศึกษา ในมหาวิทยาลัย ที่กรรมกรจากชุมชนต่างๆมาขุดแร่ขุดพลอยที่เรียกว่า วิชาการ หรือไอ้ใบปริญญานั่นแหละ ขุดคุ้ยค้นหาเอากลับให้ได้มากที่สุด บางคนเจอแร่แพงๆ ราคาดีๆ บางคนขุดน้อยๆแต่ได้แร่มากมาย ราคาแพง แต่บางคนขุดกันเอาเป็นเอาตายแต่ก็ได้แค่กากแร่เท่านั้น ผลสัมฤทธิ์รวมทั้งโควตาการขุดวัดกันได้แค่ 4ปี หรือ 8ปีตามแต่หลักสูตรของกรรมกรน้อยเหล่านั้น

                นี่คือการเสกสรรปันแต่งของสังคมให้มาอยู่จุดๆหนึ่งนี้ ผมจำได้ว่าสังคมเราได้พูดถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันอย่างกว้างขวาง ผมจำได้อีกว่าผมรู้จักสิ่งนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมตอนต้น ตอนนี้ผมเรียนมหาลัย เขาก็บังคับเอามายัดใส่สมองผมอีก โดยกำหนดเป็นหลักสูตรวิชาบังคับและวิชาเลือกแต่บังคับ มันให้เลือกหรือมันจะบังคับมันก็เป้าหมายเหมือนกันคือคุณต้องเรียน มันจะดีจะชั่วหรือเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ผมไม่สนใจ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน เอ้มันก็มีส่วนดีอยู่บ้างในระดับหนึ่งในสามัญสำนึก

                เราเห็นพลังมวลชนนักศึกษาที่ออกมาปฏิวัติสังคมไม่ว่าวีรชน 14หรือ6 ตุลาคม หรือไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ ตูนีเซีย ที่เรียกกันว่า ปฏิวัติดอกมะลิ(Jasmines Revolution) ถ้าพูดกันเล่นๆมาปฏิวัติดอกมะลิในมอออบ้างก็ดี มาปฏิวัติความคิดความอ่าน คนหนุ่มๆสาวๆ พูดก็พูดเถอะยากพี่น้องเรา แต่เราก็ไม่เคยท้อแท้หรือน้ำตาตกที่จะหมดหวังในการเรียกร้องเชิญชวนสู่สิ่งที่ดีงามและจรรโลงสังคม

                ในสังคมที่เรากำลังขุดคุ้ย ค้นหาวิชาการและประสบการณ์อย่างบ้าคลั่ง บางคนจะเอาดีเอาเด่น หรือทำอะไรตามใจทางหนึ่งทางใด ก็ไม่เป็นไร ชีวิตท่านท่านเลือก พระเจ้าสร้างลู่วิ่งให้ท่านแล้ว วิ่งให้เต็มที่ พระองค์รออยู่ที่เส้นชัยและถ้วยรางวัลอย่างงาม

                นักศึกษาและชมรมต่างๆได้มีการทำกิจกรรมต่างๆที่สร้างสรรค์ต่อสังคม ถามว่ามันได้รับประโยชน์อะไรบ้าง(ถามตัวเองดูและตอบคำถามคุณในใจ) มันก็ได้รับประโยชน์สิท่าน ตัวเองก็ได้ประสบการณ์ ความรู้ สังคมก็ได้รับประโยชน์ เช่น ได้โรงเรียน ได้ห้องสมุด ได้ห้องน้ำ ได้อบรมเด็กๆ ได้ความรู้จากนักศึกษา ฯลฯ

                พูดถึงคนทำงาน ความดีงามนั้นบางครั้งมันยากเย็นแสนเข็ญ บางครั้งน้ำตาก็ไหล ทุกข์ทน เพราะความเหนื่อยยาก ท้อแท้ เรียนหนัก หมดกำลังใจ อุปสรรคมากมาย แต่เขาก็ทราบดีและปฏิเสธมิได้ว่าพระเจ้าทรงยิ้มและช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา ทรงใจดีจังเหนอะ!        

                ในกรอบทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียงที่กล่าวในข้างต้น ที่ดันวนไปวนมาอย่างอุตลุตในการย้อนเวลาและกระตุกต่อมคิดตัวเอง ความพอเพียงในนิยามของคุณคืออะไร ทำไมแค่นั้นถึงเรียกว่าพอเพียง  สังคมไทย สังคมมหาวิทยาลัย เราพอเพียงหรือไม่ เหมือนเพ้อฝันหรือเป็นไปได้จริงหรือในสังคมทุนนิยมที่โหดร้ายและน่ารังเกียจอย่างไรกัน เป็นเหตุผลที่ทุกคนสงสัยกันหรืออาจเป็นผมคนเดียวที่บ้าบอคิด หรือน่าจะมีมากกว่านี้ที่สงสัย

                พวกเราพูดถึงความพอเพียง เราก็จำกัดแค่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่มิติอื่นๆก็เช่นกันมันก็สามารถครอบมิติที่แตกต่างได้เช่นกัน ในมิติความพอเพียงตามสามัญสำนึกสัตว์ประเสริฐทั่วไป ถ้าเรานำเอาความรู้และสิ่งที่ได้จากการร่ำเรียนมาในห้องสี่เหลี่ยม จากอาจารย์ที่ไปขุดแสวงหาความรู้มาจากเมืองที่เขาว่าเจริญแล้ว สิ่งเหล่านี้นำเอามาปฏิบัติบ้างก็ดี มันก็คงเกิดการบูรณาการได้ ถ้าหากนำมาใช้ นำมาคิดอย่างประยุกต์และมีศิลปะจากปรัชญาแห่งความรู้แต่ละศาสตร์ที่แตกต่างกัน

                พูดก็พูดอีกเถอะว่านักศึกษาอย่างคุณๆผมๆ หรือใครหน้าไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าการทำกิจกรรมใดๆ การบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมล้วนมีความสำคัญและเกี่ยวพันกันในมิติของความรู้ และคุณธรรม เสมออย่างปฏิเสธมิได้ จริงหรือไม่ที่การทำกิจกรรมของนักศึกษา ไม่ว่ากิจกรรมใดล้วนก่อให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ต่อสังคม การนำเอาความรู้ วิทยาการต่างๆที่ได้รับรู้มา นำมาประยุกต์ นำไปทำกิจกรรมต่างๆที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม สิ่งเหล่านั้นก่อเกิดคุณธรรม จริยธรรมในมโนสำนึกของนักศึกษา ก่อเกิดความตระหนัก การพิเคราะห์ การกระทำที่เกิดเพื่อส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ทั้งนั้นกล่าวมาก็เช่นกันคืออยู่ในกรอบของความรู้และคุณธรรม

                จึงไม่แปลกใจเลยที่นักวิชาการ นักศึกษาหรือผู้ใหญ่จากวงการต่างๆต่างเรียกร้องให้นักศึกษา หันมาทำประโยชน์แก่สังคม มาเรียกร้องเยาวชนนักศึกษาให้ตื่นจากความคิดผิดๆ จากอบายมุขทั้งหลาย และสิ่งยั่งยวนต่างๆที่ฉุดรั้งเวลาในการเติมเต็มสังคมให้ดีงาม

                ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ หลายครั้งที่นักวิชาการหรือคนทำงานหลายคนมองว่านักศึกษาหลับอยู่ จำเป็นต้องปลุกขึ้นมา บางคนปลุกแบบดีๆ บางคนสาดน้ำเพื่อให้ตื่น บางคนก็มีการกระโดดถีบและกระทืบเพื่อให้ตื่น เหล่านี้เป็นความรู้สึกของคนอกหักที่มาระบาย ระบายออกมาเพื่อให้ได้ผ่อนหนักผ่อนเบาจิตใจ

                เราหลับและเราตื่น เราไม่ได้หลับใหลอะไรเลย เราตื่นมาตั้งนานแล้ว นักวิชาการก็เช่นกัน เราทั้งหมดตื่นมาแบบสลึมสลือ น้ำลายบูดเปื้อนอยู่อีก แต่เราก็นิ่งเฉยนั่งอยู่ที่เดิม หรือสั่งให้เพื่อนทำงาน หรือไม่ก็กินแรงเพื่อน  มันจำเป็นหรือสมควร หรือตระหนัก หรือควักสมองออกมาคิดแล้วทำหรือไม่ จริงหรืออย่างไรที่เราต้องล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำและแต่งตัวออกมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดสิ่งดีงาม สร้างสรรค์โลกใบนี้อย่างที่ควรเป็นไป

 

                พลังเล็กๆแค่อะตอมก็เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่รุนแรง พลังนักศึกษาแม้เป็นพลังเล็กๆแต่ก็ยิ่งใหญ่เช่นกันเสมอ แม้มิใช่ในสายตามนุษย์ แต่ในพระเนตรของพระเจ้าเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เสมอ ปัจจุบันจึงมิใช่เวลาที่คนทำงานต้องยึดอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่อย่างไม่ลืมหูลืมตา และเอาตัวเองเป็นที่ตั้งต่อไป คุณมิใช่ศูนย์กลางแห่งจักรวาล ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้น แล้วผมค้นพบและค้นพบมานานแล้ว แต่ผมไม่เคยยอมรับอย่างไร้ยางอาย หรือหน้าด้านดีๆนี่เอง ผมทราบดีว่ามันโง่เง่าสิ้นดี ประดุจดั่งคนวิกลจริตที่ไม่ยอมรับตนเองและไม่ยอมรักษาสังขาร สิ่งเหล่านี้จะให้แก้ไข เปลี่ยนแปลงไปก็รู้สึกว่าเกินเยียวยาแล้ว แต่หาใช่ว่าจะเป็นไปมิได้เลยที่จะเปลี่ยนแปลงหากใช้ความมานะแห่งตนและสติสัมปชัญญะ เราบอกไดว่าเราไม่เคยทอดทิ้งและปลดอดีตตนเองเลย บางคนปลดและทอดทิ้งอดีตตนจนความเป็นตัวตนร่วงหาย มิได้เก็บไว้พิจารณา เป็นอุทธาหรณ์สอนสติตน วันนี้เราปฏิเสธมิได้เลยว่าเราเป็นในสิ่งที่เราเป็นและไม่เคยจะแก้ไขมันให้ดีงามเลย

                คนๆหนึ่งมิได้เรียกร้องการตอกลิ่มให้เกิดการร้าวฉานเกิดขึ้น เรามิได้กล่าวขานความเป็นไปในตนเองและตัวท่านมาประจานหรือถากถางประการใด แต่เราและท่านและคุณหรือแม้กระทั่งใคร ที่รวมกันกันจนเรียกว่าเป็นพี่น้องนั้น สมควรหรือประการใดกันที่เราจำเป็นต้องแก้ไขยกเครื่องตนเอง ปรับปรุงข้อบกพร่องตนเองและตักเตือนคนอื่นอย่างมีมารยาท และมีสติปัญญา เราขอรณรงค์อย่างขาดใจในเรื่องความรักกันและกัน

                ไม่มีพลังใดๆที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังที่เล็กๆ ไม่มีพลังเล็กๆใดๆที่จะใหญ่ได้ไปกว่าความรัก ความรักต่อพระเจ้า ความรักต่อพี่น้อง ความรักต่อสังคม ความรักต่อตนเอง เหล่านี้เรารู้แล้ว เรารู้จนฝังใต้สมองเป็นสามัญสำนึกตลอดกาล เปรียบได้กับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งไปแล้วแต่ขาดการดูแล ทำให้มันพิการและไร้สมรรถภาพ ความรักพิการไม่มีใครต้องการ จงกระซิบเบาๆและหนักๆ โอ้ความรัก ความสามัคคี และความเป็นพี่น้อง คือพลังที่ยิ่งใหญ่ ในการเปลี่ยนแปลงสังคยนาโลกบูดเบี้ยวที่สวยงามใบนี้

                หมดเวลาเรียนแล้วตื่นไปกินข้าวเที่ยง เขาลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมความหวังอันยิ่งใหญ่ แม้หาแก่นสารอะไรมิได้จากการเรียน แต่เขาก็ได้คิดและเดินสู่สิ่งนั้น เขากระซิบเบาๆฉันรักคุณนะ ความรักและพี่น้อง  และยังคงเป็นพลังงานแห่งรักที่ผลักดันเขาและพี่น้องเขาต่อไปอย่างเล็กน้อยแม้เพียงซอกใจของมดคันไฟ กระซิบซิ! เบาๆ หนักๆ ว่ารักคุณเข้าแล้วโอ้ความฝัน...........

  แด่ โดเรม่อนน้อย แด่พ่อแม่และพี่น้อง

......... นายหัว..........

หมายเลขบันทึก: 448578เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2011 15:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท