สืบเนื่องจากข้อคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคุณกัลยา มิขะมา
ท่านได้ให้ประเด็นที่น่าสนใจว่า
"ครั้งต่อไปเขียน การวิจัย แบบ PAR บ้างสิค่ะ จะตามอ่านตลอดไปนะคะ"
อยากจะเรียนสั้น ๆ เลยครับว่า การเขียนพาเป็นเป็นอย่างไรนั้นไม่ยากครับ แต่ PAR นั้นยากที่ต้อง "ทำแบบไม่ทำ" ครับ
ซึ่งผมได้มีโอกาสลงรายละเอียดของการทำงานแบบมีส่วนร่วมไว้ช่วงหนึ่งครับใน "ท่าสักไดอารี่"
ท่าสักไดอารี่(2) : ร่วมคิด ร่วมริเริ่มโครงการ
ท่าสักไดอารี่(3) : ร่วมเรียนรู้ ร่วมกันทำงาน ร่วมมีเจ้าภาพ
ท่าสักไดอารี่(4) : สร้างเครื่องมือ
ท่าสักไดอารี่(5) : เรียนรู้เรื่องกระบวนการเก็บข้อมูลในชุมชนภาค 2
ท่าสักไดอารี่(5) : เรียนรู้เรื่องกระบวนการเก็บข้อมูลในชุมชนภาค 3
ท่าสักไดอารี่(6) : ผังชุมชน : KM
ท่าสักไดอารี่(6) : เก็บข้อมูลชุมชน
ท่าสักไดอารี่(7) : เก็บข้อมูลชุมชน จัดกระบวนการเรียนรู้ภาค1
ท่าสักไดอารี่(7) : เก็บข้อมูลชุมชน จัดกระบวนการเรียนรู้ภาค2 เรื่องการสัมภาษณ์
ท่าสักไดอารี่(8) : เตรียมการนำเสนอ
ท่าสักไดอารี่(9) : นำเสนอและปิดโครงการในชุมชน
ท่าสักไดอารี่(10) : สรุปโครงการ
ท่าสักไดอารี่(10) : สรุปโครงการภาค2
ท่าสักไดอารี่(11) : เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน
มหาวิทยาลัยที่เข้มแข็ง : ส่วนหนึ่งจากท่าสักไดอารี่
การจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วม(Participatory Action Learning: PAL)ส่วนหนึ่งจากท่าสักไดอารี่
เมื่อวิจัยจบแล้วจบเลยไหม : ส่วนหนึ่งจากท่าสักไดอารี่
เสียงสะท้อนจากนักศึกษา : ส่วนหนึ่งของท่าสักไดอารี่
ประโยชน์จากท่าสักไดอารี่ : มุมมองใส ๆ ของนักศึกษา
เป็นงาน PAR ที่เราทำร่วมกัน (นักศึกษา อาจารย์ ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน) กับงานที่เริ่มต้นโดยไม่ได้มีงบประมาณแม้แต่เพียงบาทเดียวครับ พวกเรามีแต่ใจที่อยากจะทำงานร่วมกันครับ
จากกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาด้านบน พวกเราได้เงินมาจากการบริจาคของหลาย ๆ ภาคส่วนครับ ซึ่งงบประมาณทั้งโครงการตั้งแต่ต้นโครงการจนกระทั่งเมื่อทำเสร็จพวกเราคิดงบประมาณออกมาแล้ว หมดไปห้าพันกว่าบาทครับ
แต่เหนือกว่าได้เราทุก ๆ คน ได้ "ปัญญา" อย่างมากมายมหาศาลครับ
บันทึกนี้ก็เลยได้นำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ตกผลึกจากกงานวิจัยอีกเล่มหนึ่งของผมและทีมงาน "โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างการบริหารจัดการที่ดีของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์" ที่เตรียมจะลงหลายครั้งแล้วครับ แต่ก็มิได้มีโอกาสได้ลงเป็นบันทึกเสียทีครับ
จึงได้นำได้มาถ่ายทอดให้ทุก ๆ ท่านเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันครับ
การวิจัยแบบ “พา” นั้น เป็นรูปแบบการวิจัยเป็นการก้าวข้ามพรหมแดนของนักวิชาการบนหอคอยที่หมกมุ่นอยู่แต่การสอนและการวิจัยบนโต๊ะทำงาน โดยตัดขาดจากความเดือดเนื้อร้อนใจในปัญหาของชุมชน
วันนี้นอกจากผู้ที่มีส่วนร่วมในการทำวิจัยทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ชุมชน หน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน หรือว่า NGO จะได้รับประโยชน์จากการทำวิจัยครั้งนี้ เราคงจะลืมผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอีกคนหนึ่งไปไม่ได้
สิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ของราชภัฏ ปรัชญาของมหาวิทยาลัย นโยบายของคณะ คนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ โดยตรงคือ “นักเรียน หรือนักศึกษา”
เพราะในฐานะของครูหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยนอกจากการสอน ภาระกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ“งานวิจัย” แต่เนื้อแท้ที่ได้รับจากการวิจัยที่ได้รับนั้นไม่ได้ออกมาในรูปของตัวเงิน ผลงาน หรือตำแหน่งทางวิชาการ แต่หัวใจของการวิจัย ก็คือ การนำองค์ความรู้ที่ได้นั้นไปถ่ายทอดและมอบให้กับ “ลูกศิษย์” ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของประเทศชาติ
เมื่อวานเราได้จัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันกับชุมชนแล้ว วันพรุ่งนี้เราจะต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นในห้องเรียนอย่างยั่งยืน และทำให้ลูกศิษย์ของเรานั้นได้เรียนรู้เรื่องของตัวเขาเอง เรียนรู้วิธีการ เรียนรู้หนทาง รู้วิธีการแก้ปัญหา
เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของเราไปแล้ว เมื่อมีปัญหาแบบนี้เข้ามา เขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไร จะต้องหาข้อมูลต่าง ๆ มาจากที่ไหนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น เขาจะทำได้ เพราะการกระบวนการเรียนรู้นี้สร้างปัญญา ช่วยให้คนมาร่วมกันคิด ร่วมกันศึกษาเอง ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและหาทางออกได้ด้วยตนของเขาเอง วันนั้นอนาคตของชาติเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะนำประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น แต่อนาคตของชาติเหล่านี้จะทำให้ชุมชนของเขาเองไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนได้ เพราะ “พา”
สุดยอด เลยครับท่าน
ต้องขอบคุณบันทึกนี้มากๆเลย..
ขอเวลาย่อยไปทีละบันทึกละกันนะครับอาจารย์
ได้อ่านแล้วรู้สึกตะลึงมากเลยครับ
ท่านจันทร์เมามาย
ท่านอ่านแล้ว ตีลังกาคิดด้วยนะ
ลองคิดตามมุมมองของท่านนั่นหละ...น่าสนใจ
แล้วเจอกันครับ
..................
จะบอกว่า อาจารย์ปภังกร หน้าคล้ายเพื่อนผมคนหนึ่ง(มาก) เวลาโพสก็นึกถึงเพื่อนคนนี้ทุกที