การพัฒนาตนเองของคนและองค์กรในปัจจุบันมีพื้นฐานเพื่อต้อง “เงิน” ที่จะมาตอบสนองกิเลส ตัณหา และกามราคะ
ความต้องการ ความทะยานอยาก เป็นแรกผลักดันให้คนทำดีก็ได้ ให้คนทำชั่วก็ได้
นับตั้งแต่การเรียนหนังสือ เลือกคณะฯ ภาควิชา สิ่งเร้าที่คอยกระตุ้นอยู่ภายในลึก ๆ ก็คือ รายได้และค่าตอบแทน
การเปิดร้านค้า การทำธุรกิจ ส่วนใหญ่แล้วก็ทำและสร้างขึ้นมาเพื่อหวัง “กำไรสูงสุด” กันแทบทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อทุกคนต่างก็มีเป้าหมายในการแย่งชิง “เงิน” ที่ไหลเวียนอยู่ในระบบ
แต่ละคนก็ต่างก็จะต้องพัฒนาตนเองให้เหนือเพื่อน เหนือคู่แข่งขัน
ทั้งในด้านส่วนตัวคือ พัฒนาการศึกษาของตนเอง ทั้งในด้านองค์กรคือพัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาระบบบริหาร คิดค้น พัฒนา วิจัย เพื่อให้ได้สินค้าแปลกใหม่มาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดนั้น
การศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง จึงกลายมาเป็นโจทย์แห่งขนมเค้กชิ้นใหญ่ ซึ่งใครต่อใครก็หวังว่าการลงทุนทางการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองนั้นจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเองได้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสทองของสถาบันการศึกษาที่จะจัด “อาหาร” หวาน คาว ให้ผู้บริโภคที่มีความต้องการได้เลือกดื่ม เลือกกิน
ทั้งในตัวสถาบันการศึกษาเอง ก็พัฒนาเพื่อแข่งขันแย่งลูกค้า ชิงผู้บริโภค
เมื่อคนเรียนจบ ก็นำความรู้ของตนเองไปพัฒนาสินค้าบริการกันยกใหญ่
ทั้งในส่วนที่สามารถใช้วิชาความรู้ของตนเองไปหาลูกค้ามาได้ และอีกส่วนหนึ่งตนเองก็ถูกอีกคนหรืออีกองค์กรกระตุ้นให้ไปซื้อสินค้าและบริการของเขา
ระบบการหมุนเวียนเปลี่ยนเงินจึงกลายเป็นวัฏจักรที่แต่ละคนก็แย่งชินกันไปแย่งชิงกันมา
คนหนึ่งเป็นผู้บริหารองค์กร ทำรายได้ได้มาก ได้เยอะ แต่ก็ต้องไปเสียท่าซื้อสินค้า บริการให้กับอีกองค์กรหนึ่ง
คนทุกวันนี้จึงแข่งขันกันเพื่อมา “หลอก” กัน
ผีที่ว่ากลัว แต่ใครสักคนที่เคยโดนผีหลอก เราทุกวันนี้ต้องเจอ “คนหลอกคน” อยู่ทั้งวัน ทั้งคืน
ทำงานหาเงินมาได้ ก็ต้องใช้จ่ายไปด้วยถูกกระตุ้นกิเลสจากอีกคนหนึ่ง
เราเรียน เราทำงานเพื่อหาเงินมาตอบสนองกิเลสของเรา ก็ต้องยอมให้เค้าหลอกเอาเงินของเราไป
วัฏจักรแห่งการเรียนรู้เพื่อตอบสนองกิเลส ตัณหา และกามราคะของตนเองจึงเป็นเช่นนี้ เรียนรู้เพื่อที่จะหาเงิน คือเก่งในศาสตร์ของตนเอง แต่ก็ไปแพ้วิชาในศาสตร์ของคนอื่น
พ่อค้า แม่ค้า ผู้บริหาร ต่างก็เก่งกาจในการกระตุ้น “กิเลส ตัณหา และกามราคะ” ของผู้อื่น แต่ “กรรมย่อมสนองกรรม” คือกระตุ้นเขา จนได้เงินเขามา ก็ต้องถูกอีกคนกระตุ้นจนต้องจ่ายเงินที่ได้มานั้นออกไป
ไม่มีใครเก็บเงินนี้ไว้ได้ มันคือ “เงินร้อน” ร้อนเพราะเจตนาไม่ดี เจตนาในการเรียนรู้ไม่ดี ไปศึกษา เล่าเรียน ไปเรียน ไปรู้ เพื่อมาหาเงิน หาทอง เรียนเพื่อเอา ไม่ได้เรียนเพื่อ “ให้”
ไม่มีกรรมใดที่จะไม่ให้ผล
กรรมเกิดขึ้นที่เจตนา
ก่อนที่จะเรียนรู้ตั้ง “เจตนา” ให้ดี
ให้ตั้งจิตเจตนาเรียนรู้มาเพื่อ “ทำความดี” เพื่อ “เสียสละ”
หลีกเลี่ยงเจตนาการเห็นแก่ตัว
มีเจตนาที่จะเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวม สังคม และครอบครัวเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
ถึงแม้นว่าเราอาจจะตั้งเจตนาในตอนเรียนไว้ไม่ดีก็ “ช่างหัวมัน” เอาใหม่
ตอนทำงานนี้ก็ให้ตั้งจิตเจตนาใช้วิชาความรู้ที่ได้มานั้น “ทำความดี และ เสียสละ”
เป็นพ่อก็ให้เป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ก็ให้เป็นแม่ที่ดี เป็นลูกก็ให้เป็นลูกที่ดี เป็นหัวหน้าก็ให้เป็นหัวหน้าที่ดี เป็นลูกน้องก็ให้เป็นลูกน้องที่ดี เป็นผู้บริหารก็ให้เป็นบริหารที่ดี ทุก ๆ วินาทีทำหน้าที่ด้วยความ “เสียสละ”
และสุดท้ายบั้นปลายของชีวิต หรือแม้กระทั่งบั้นปลายของทุก ๆ วัน คือทุกครั้งก่อนที่จะหลับตานอน เราก็จะได้ถ่ายถอนความทุกข์ที่เกิดจากความเร่าร้อนภายในจิตใจ
เวลานอนหลับจะได้เป็นเวลาที่มีความสุข เพราะเตียงไม่ร้อน เนื่องจากเราได้ดับความร้อนของไฟแห่งกิเลส ตัณหา กามราคะให้ดับลงแล้วก่อนนอนทุกครั้ง
ถ้าทำความดี เราก็จะได้รับผลทุกวัน
หากเรามีจิตใจที่เมตตา กรุณาต่อกัน ทุก ๆ วันของเราคือวันแห่งความสุข
สุขใดเล่าจะเหนือจากความสงบนั้นไม่มี
ถ้าหากเราทำความดีและเสียสละ จิตของเราจะสงบจากกิเลส ตัณหา และกามราคะตลอดสิ้นกาลนาน...
ไม่มีกรรมใดที่จะไม่ให้ผล กรรมเกิดขึ้นที่เจตนา
ก่อนที่จะเรียนรู้ตั้ง “เจตนา” ให้ดี ให้ตั้งจิตเจตนาเรียนรู้มาเพื่อ “ทำความดี” เพื่อ “เสียสละ”
ขอบคุณมากค่ะ ชอบข้อความนี้มาก