Thai 2011 General Election


Learning English by the situation is a meaningful way of learning.

         จากการที่ "สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)  : National Institute of Educational Testing Service (Public Organization) : NIETS"  ได้ทำการสอบวัดเพื่อประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของชาติ (Ordinary National Education Test : ONET) ในปีการศึกษา 2553 ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ "สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Office of the Basic Education Commission : OBEC)" แล้วพบว่า คะแนนเฉลี่ยทั้งประเทศในวิชาภาษาอังกฤษต่ำมากและต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับคะแนนวิชาอื่นๆ ทั้งผลการสอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กล่าวคือ จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (Mean) ทั้งประเทศของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 คือ 20.99  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คือ 16.19 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 คือ 19.22  (http://www.niets.or.th/upload-files/uploadfile/9/bdaea64f96d90aeca0bb751dc827ca60.pdf)  คงจะเป็นสัญญาณให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหันมาพิจารณากันให้จริงจังขึ้นว่า เราจะหาทางเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในวิชาภาษาอังกฤษ (Enhancing  the English Achievement) ให้กับนักเรียนของเราได้อย่างไร

       

           ใน "แผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (พ.ศ.25492553)" นั้น กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึงปัญหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ สรุปได้ว่า 1) ด้านการเรียนการสอน (1) ยังไม่มีการบูรณาการทั้ง 4 ทักษะ และการฝึกปฏิบัติยังไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่เน้นการสอนไวยากรณ์และท่องศัพท์ (2) วิธีการเรียนการสอนยังไม่หลากหลายและไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของนักเรียน (3) นักเรียน (ในแต่ละห้อง-ผู้เขียน) มีมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถดูแลหรือจัดให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติได้อย่างทั่วถึง 2) ด้านครู  ครูส่วนใหญ่ขาดความรู้และทักษะในการสอนเพราะ (1) ครูสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษากว่าร้อยละ 80 ไม่ได้จบวิชาเอกภาษาอังกฤษ และต้องสอนหลายกลุ่มสาระ รวมทั้งมีภาระงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอนมาก (2) ครูส่วนใหญ่ยังด้อยทั้งทักษะภาษา โดยเฉพาะการสื่อสาร ทักษะการสอน และขาดเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (3) ผลการประเมินความสามารถของตนเองของครูสอนภาษาอังกฤษ  โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ครูร้อยละ 51.91 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ต้องปรับปรุง ดังนั้น ความคาดหวังที่จะให้ครูพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา จัดทำแผนการสอน ผลิตสื่อ และจัดการเรียนการสอนตามที่กำหนดจึงไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง (4) ครูสอนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่สอนโดยยึดแบบเรียนเป็นหลัก และเลือกเฉพาะบางกิจกรรมที่สามารถสอนได้ (5) ครูขาดการสนับสนุนให้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ (6) ครูชาวต่างประเทศส่วนหนึ่งที่มาสอนในสถานศึกษา ขาดความสามารถในการสอน และมีปัญหาความประพฤติส่วนตัว (7) การประเมินและการพัฒนาศักยภาพของครูยังไม่เชื่อมโยงกับการประเมินวิทยฐานะและแรงจูงใจด้านอื่นๆ และ 3) ผู้เรียนไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษแบบสื่อสารได้ และ 4) ขาดบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร

                       

                                http://blog.eduzones.com/anisada/81744

          ตัวอย่างความเห็นของนักเรียนหลังสอบ ONET ภาษาอังกฤษในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ Posted ทาง www.dek-d.com ชี้่ว่า แม้นักเรียนส่วนใหญ่จะทำไม่ได้ แต่ก็มีผู้ที่ทำได้ พิสัย (Range) ของคะแนนภาษาอังกฤษ ทั้งระดับป.6, ม.3 และ ม.6 คือ 0-100 แปลว่ามีผู้ที่ได้ 0 และผู้ที่ได้เต็ม 100 คะแนน  แสดงว่านักเรียนมีความสามารถในวิชาภาษาอังกฤษแตกต่างกันมาก ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษชั้น ม.4 ที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอใกล้ตัวจังหวัดอุบลฯ ซึ่งผู้เขียนได้นิเทศนักศึกษาฝึกประสบการณ์ในภาคเรียนที่ 1/2553 พบว่า นักเรียนบางคนทำแบบฝึกหัดที่ครูให้ทำในชั้นเรียนถูกทุกข้อ หลายๆ คนทำถูก 8 ใน 10 ข้อ แต่มีนักเรียนชาย 3-4 คนที่ไม่ยอมทำแม้แต่ข้อเดียว ชื่อตนเองก็ยังเขียนเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ และครูก็ไม่ได้ใส่ใจแก้ไข ...ตัวอย่างความเห็นที่ Posted มีดังนี้ ...yes no OK ได้แค่นี้อะภาษาอังกริด...O-net Eng ไม่ไหวจะ said!! ...ข้อสอบ อิ๊งปีนี้ยากมักมากคร้า...ยากสุดด 20 คะแนน ไม่รู้จะถึงปล่าว เล้ย แต่เพื่อนบางคนบอกทำได้ 70-80 % อ๊ากก! ...เต็มร้อยบวกเข้าข้างตัวเองแล้วได้ 16 ข้อ! มันจะยากกส์ไปใหนน อาเมนนน...ไม่ยากนะ อ่านพวก Relative Clause มะคืนไม่ได้นอน ดูติวเบรนกับครูสมศรีกับอ่านหนังสือทำย้อนหลัง โห เจอข้อสอบสบายเลย ตรงเป๊ะๆ ...Vocab ทำไมมันง่ายๆง๊าย...คะแนนต่ำสุดของประเทศ คงจะมาอยู่ที่เรานี่แหละ ยากมาก  20 คะแนน ก้อคงไม่ถึง ...ยากมากอ่ะ ข้อที่ว่าถูก พอมาดูในนี้ เราผิดไปตั้งหลายข้อ อุตส่าห์ตั้งใจทำอังกฤษอ่ะ ยากกว่าที่คิดไว้เยอะม๊ากก...เซ็งโว๊ย!ไม่ได้เกิดเมกานะเว๊ย จะออกข้อสอบอะไร ก็เกรงใจกันบ้าง แหม่ๆๆ...Passage กับ Situation โอเคนะ อ่านรู้เรื่องทำได้ หวังว่าคะแนนจะถึง 60%...(ผู้เขียนยกข้อความตามที่ Posted มาล้วนๆ ไม่ได้แก้ไขภาษา) จากสถานการณ์ดังกล่าว "สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน"  ที่กำหนดเป้าประสงค์ไว้เลิศหรูว่า "ผู้เรียนทุกคนมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และพัฒนาสู่ความเป็นหนึ่งในสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ควรจะได้พิจารณาหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

          ปัญหาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ มีในทุกระดับการศึกษา ดังที่นายอมเรศ ศิลาอ่อน ได้กล่าวถึงปัญหาใหญ่ของการพัฒนากำลังคนที่ผ่านมาสรุปได้ว่า โรงเรียนและมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการถึง 90 % ไม่สามารถสอนให้คน 15 ล้านคนรู้ภาษาอังกฤษได้ สอดคล้องกับที่ ศ. ดร. อัจฉรา วงศ์โสธร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ (ศสษ.) กล่าวไว้ว่า "ทั้งที่การสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน มีทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน แต่กลับพบว่า ผู้สำเร็จการศึกษาก็ยังไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกทักษะ"และวิเคราะห์ว่า ที่เป็นเช่นนั้นเกิดจากสาเหตุหนึ่งคือ "หลักสูตรไม่สอดคล้องกับการใช้จริง"  ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยในประเด็นนี้ เพราะ "มื่อเรียนแล้วไม่ได้นำไปใช้ในชีวิตจริง ก็ไม่เกิดแรงจูงใจในการเรียน (Motivation to Learn)" ในทางจิตวิทยานั้น เชื่อว่า "แรงจูงใจในการเรียนรู้เป็นหัวใจในการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จ และความสามารถของครูในการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ก็เป็นหัวใจของความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้เช่นกัน"  ผู้เขียนได้ทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาสมรรถภาพในการเรียนรู้ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาวิชาจากทุกคณะที่เรียนวิชา "พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน : Human Behaviors and Self Development" กับผู้เขียน ในช่วงปีการศึกษา 2545-2552 สมรรถภาพด้านจิตใจ (Affective Competence) ที่พัฒนา คือ "แรงจูงใจภายใน ในการเรียนรู้"  และสมรรถภาพเฉพาะสมรรถภาพหนึ่งที่เป็นจุดเน้นในการพัฒนาคือ "สมรรถภาพในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ" เพราะความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นจุดอ่อนของบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยได้รับการสะท้อนมาตลอด ทั้งจากตัวบัณฑิตเองและนายจ้าง/ผู้บังคับบัญชาของบัณฑิต "การสร้างแรงจูงใจภายใน ในการเรียนรู้ (Intrinsic Motivation to Learn)" ทำได้โดย 1) การทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า/คุณประโยชน์ของการเรียน (Value/Usefulness) 2) การทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่า การเรียนมีความท้าทาย น่าสนใจ และสนุก (Enjoyment) และ 3) การทำให้ผู้เรียนมีความเชื่อว่าตนจะสามารถเรียนรู้ได้ (Self-efficacy Belief)"  สำหรับการทำให้หลักสูตรการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสอดคล้องกับชีวิตจริงนั้น ผู้เขียนได้มอบหมายงานตามสภาพจริง (Authentic Tasks)" ให้กับผู้เรียน คือ ผู้เรียนที่เรียนในภาคการศึกษาที่ 1 (Semester 1) จะได้ฝึกทักษะการอ่าน/เขียนโดยใช้ "Brochure ประชาสัมพันธ์งานประเพณีแห่เทียนฉบับภาษาอังกฤษ" เป็นสื่อ และได้ฝึกทักษะ การฟัง/พูด โดยนักศึกษาแต่ละคู่ (Pair Learning) จะได้ออกไปพูดคุยสนทนาสัมภาษณ์ชาวต่างชาติ ที่ไปรอชมงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากได้รับการเตรียมความพร้อมในชั้นเรียนแล้ว ดังตัวอย่างภาพข้างล่าง (ที่เห็นในภาพว่า มีนักศึกษาหลายคนไปรุมล้อมชาวต่างชาติ เพราะบางคนไปเชียร์เพื่อน ไปสังเกตการณ์ หรือไปร่วมแจม) และตัวอย่างหนึ่งของการเขียนบันทึกเพื่อสะท้อนความรู้สึกจากประสบการณ์ดังกล่าวเป็นรายบุคคล คือ...  

      ก่อนสัมภาษณ์พูดคุย : ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นและคิดในใจอยู่เสมอว่า เราต้องทำให้ได้ พูดให้ได้ จะถูกหรือผิดหลักไวยากรณ์ก็ตาม (กฏข้อแรกที่ให้ไว้ คือ "ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด") แต่เราต้องสื่อสารกับเขาให้เข้าใจไว้ก่อน

      ขณะสัมภาษณ์พูดคุย ความตื่นเต้นของข้าพเจ้ากำลังจะจากไปเมื่อข้าพเจ้าสัมภาษณ์ประโยคแรก  ข้าพเจ้า ได้พยายามคิดหาคำถามต่างๆ มาถามชาวต่างชาติเพื่อไม่ให้การสนทนาขาดตอน และเราโชคดีที่ชาวต่างชาติคนนี้ใจดีมาก ไม่เรื่องมาก

      หลังจากสัมภาษณ์เพูดคุย   รู้สึกสนุก ชอบที่จะทักทาย และกล้าพูดกับชาวต่างชาติมากขึ้นเมื่อมีโอกาส เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจมากขึ้นในการสนทนาภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ ถ้าหากมีโอกาสได้ไปเที่ยว หรือไปที่ไหนก็ได้ที่มีชาวต่างชาติอยู่ข้าพเจ้าจะไม่ลังเลที่จะทักทาย

        โดยทั่วไปแล้ว ครูมักจะประสบกับปัญหาผู้เรียนขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และขาดความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ดังที่ อาจารย์ขจิต ฝอยทองได้ศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนมัธยมประจำตำบลหนองรี อำเภอบ่อพพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ร้อยละ 70 ขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คิดว่าวิชาภาษาอังกฤษน่าเบื่อ เรียนแล้วไม่เข้าใจ ไม่ชอบเรียน ร้อยละ 80 ขาดความมั่นใจในการพูดและการเขียนภาษาอังกฤษ  เพราะแทบจะไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน เห็นเป็นเรื่องไกลตัว และร้อยละ 60 มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนต่ำ  (ศึกษาจากนักเรียนจำนวน 715 คน) ซึ่งผู้วิจัยได้หาทางกระตุ้นแรงจูงใจโดยการจัดกิจกรรม "English Camp" ให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกทักษะทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ผ่านการเล่มเกมภาษาอังกฤษอย่างหลากหลาย และต้องสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษตลอดเวลาที่อยู่ในค่าย โดยมีวิทยากรชาวต่างชาติจากศูนย์ Greenway International Work Camp ไปช่วยจัดกิจกรรม (ซึ่งเป็นการใช้หลัก "Joyfulness" และหลัก "Self-efficacy Belief"  ในการสร้างแรงจูงใจภายในในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั่นเอง) ผลการศึกษาพบว่า หลังจากการร่วมกิจกรรม นักเรียนร้อยละ 90 มีแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น และกล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น (https://www.myfirstbrain.com/teacher_view.aspx?ID=15404)

                               

      (http://maizatulfaranaz.blogspot.com/2011/01/extrinsic-vs-intrinsic-motivation-which.html)

          แรงจูงใจภายนอกในการเรียนรู้ (Extrinsic Motivation to Learn) เป็นแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นที่เกิดจากสิ่งภายนอก ไม่ใช่เกิดจากกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ไปกระตุ้นความต้องการที่จะเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ความกลัวว่าจะถูกครูตำหนิหรือลงโทษ กลัวว่าจะไม่ได้คะแนน กลัวสอบตก ฯลฯ ในทางจิตวิทยาไม่สนับสนุนให้ใช้การกระตุ้นแรงจูงใจประเภทนี้ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ ก็ให้ใช้ได้บ้างในบางกรณี และกับผู้เรียนบางคน เท่านั้น 

          

                                       (http://www.englishisfunwhenitssung.net/index.htm.html)

       นักจิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychologist) จะสนับสนุนให้ครูอาจารย์ใช้การกระตุ้นแรงจูงใจภายในในการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่า ซึ่งถ้าเป็นการเรียนภาษาอังกฤษก็ทำได้โดย 1) การทำให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ของการเรียนภาษาอังกฤษ 2) การทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกในการเรียน เช่น ให้เรียนจากเพลง เกม หรือทำให้การเรียนน่าสนใจ ท้าทายความสามารถ และ 3) การทำให้ผู้เรียนเชื่อว่า ตนจะสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้สำเร็จ 

        ในลำดับต่อไป ขอเชิญชวนท่านที่สนใจ "เรียนรู้ภาษาอังกฤษตามสถานการณ์" ร่วมเรียนรู้ภาษาอังกฤษจาก "Thai 2011 General Election" ที่ผู้เขียนได้ทำหน้าที่เป็น "English Learning Facilitator" โดยสรุปสารสนเทศ (Information) สำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งมาให้ศึกษา และขอเชิญชวนครูอาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษ/สังคมศึกษา ได้ประสานความร่วมมือกัน ในการจัดการเรียนรู้ทั้งสองกลุ่มสาระ โดยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง และการพูดภาษาอังกฤษ และการเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับหน้าที่พลเมือง โดยใช้สารสนเทศที่ผู้เขียนจัดไว้ให้ ได้ผลอย่างไรเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ  

          Learning English by the situation is a meaningful way of learning, which will stimulate learners' motivation to learn. I myself learned English from "Thai 2011 General Election" including : vocabularies, phrases, and sentences; both praticing listening, and reading skills.

         

                                          

                                           THAI 2011 GENERAL ELECTION RESULTS PER REGION

Key: Pheu Thai = red, Democrat = blue, BhumjaiThai = green, Chartthai = purple, Palung Chon = orange, no majority = gray

Parties that won majority of seats per province. Each province consists of one or more single-seat constituencies; the color represents what party won the majority of seats in that province. This should not be interpreted as a winner-take-all result as some parties may have also won seats there.

 Source : http://en.wikipedia.org/wiki/File:2011_Thai_general_election_results_per_region.png

                                                                           Thai General Election, 2011

                                                             All 500 seats to the House of Representative

                                                       First Party                                        Second Party

                                  

                             Leader               Yinkluk  Shinnawatra               Abhisit Vejjajiva

                             Party                  Pheu Thai                                   Democrat

                             Seats Won         265                                              159

Election result

Exit poll indicated that Pheu Thai had won the election outright, winning a majority of seats.

According to preliminary results Pheu Thai won 265 seats (204 constituency-based + 61 party-list), Democrats 159 (115 + 44), Bhumjai Thai 34 (29 + 5), Chartthaipattana 19 (15 + 4), Palung Chon 7 (6 + 1), Chart Pattana Puea Pandin 7 (5 + 2), Love Thailand 4 (all party-list), Matubhum 2 (1 + 1), New Democrat 1 (party-list) and Mahachon one party-list seat. Prime Minister Abhisit Vejjajiva has already conceded the victory of Puea Thai Party and congratulated Ms. Shinawatra as the designated Prime Minister.

According to preliminary figures from the Electoral Commission the voter turnout was at 65.99%.

Following the provisional results, Ms. Shinawatra said that "Puea Thai had already reached an agreement with one smaller party, Chart Thai Pattana, about joining a coalition, and was in negotiations with others."

                                     Preliminary Results

 Summary of the 3 July 2011 House of Representatives of Thailand Thai general election results
Party Constituency Proportional TOTAL
Votes % Seats Votes % Seats Seats %
Pheu Thai     204     61 265 53%
Democrat     115     44 159 31.8%
Bhum Jai Thai     29     5 34 6.8%
Chart Thai Pattana     15     5 19 3.8%
Palung Chon     6     1 7 1.4%
Chart Pattana Puea Pandin     5     2 7 1.4%
Rak Thailand (Prathed Thai)     0     4 4 0.8%
Matu Bhum     1     1 2 0.4%
New Democrat     0     1 1 0.2%
Maha Chon     0     1 1 0.2%
Rak Santi     0     1 1 0.2%
Valid votes     375     125 500 100%
No Votes

                                                                                                Thanks for visiting. 

หมายเลขบันทึก: 447203เขียนเมื่อ 4 กรกฎาคม 2011 08:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2013 23:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (37)
  • เห็นคะแนนแล้วใจหาย
  • เชื่อว่าครูในโรงเรียนก็สอนเป็นอย่างดี
  • แต่ไม่รู้ว่า ข้อสอบสอดคล้องกับการสอนของครูหรือไม่
  • เอาเล่มเดิมมาฝาก

 

 

 

 

ดาวน์โหลดไฟล์ PDF

http://portal.in.th/blogtobook/pages/13298/

 

  • มาบอกอาจารย์แม่ว่า แรงจูงใจในการเรียนสำคัญมากในการเรียนภาษาอังกฤษ
  • ผมส่งหนังสือชื่อ  ศิลปะการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อการเปลี่ยนแปลง: คู่มือกระบวนกรจิตตปัญญา  ของนพ.ธนา นิลชัยโกวิทย์และอาจารย์ อดิศร จันทรสุข ไปให้ คาดว่าไม่เกินวันพุธ อาจารย์แม่คงได้รับ
  • เย้ๆๆ ดีใจได้ทำความดี
  • กำลังแต่งเพลงนี้อยู่ครับ
  • ไปเรียนภาษาอังกฤษกันไหม จะพาไปท่องศัพท์ ศัพท์ๆๆๆๆ
  • ฮ่าๆๆ

ลูกขจิต Ico48" คะ

  • ขอบคุณนะคะที่คอยติดตามให้กำลังใจอาจารย์แม่ แม้บันทึกจะยังไม่จบ เออ! อาจารย์แม่มีข้อสงสัย เห็นมีข้อมูล ติดตาม ถูกติดตาม ถ้าอาจารย์แม่จะติดตามสมาชิกคนใด อาจารย์แม่จะต้องทำยังไงคะ 
  • ตื่นเเต้นที่จะได้อ่านหนังสือที่ลูกขจิตเขียน เพลงแต่งเสร็จแล้วร้องบันทึกเสียงส่งให้ฟังบ้างนะคะ จะเป็นทำนองเพลงเหย่ย รึเปล่า
  • ให้อาจารย์แม่อีกแล้ว อาจารย์แม่เคยอบรมกับนพ.ธนา 3 วันค่ะ แต่ไม่มีเอกสารแจก มีแต่ปฏิบัติกิจกรรม ดีใจที่จะได้เรียนรู้เนื้อหาในหนังสือ วันพุธ พฤหัสฯ ศุกร์ อาจารย์แม่สอน จะรอรับหนังสือด้วยความขอบคุณนะคะ
  • เชื่อค่ะ ว่า ครูจำนวนไม่น้อยสอนดี (เขามีคะแนนเป็นรายโรงเรียนด้วย คะแนนของโรงเรียนที่ครูสอนดีก็คงสูง) แต่นี่เป็นค่าเฉลี่ยทั้งประเทศนะคะ ยังมีนักเรียนจำนวนมากค่ะที่ได้เรียนกับครูที่ไม่ได้จบวิชาเอกหรือสาขาวิชาภาษาอังกฤษมา (ลูกศิษย์ปริญญาโทสาขาวิจัยฯ ของอาจารย์แม่ก็จบป.ตรีวิชาเอกเกษตรแต่ต้องสอนภาษาอังกฤษด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูประจำชั้นคนเดียวสอนทุกวิชา (อาจารย์แม่เห็นคณะจัดอบรมการสอนภาษาอังกฤษให้คุณครูป. 1 ที่ไม่ได้จบวิชาเอกภาษาอังกฤษมา ส่วนใหญ่เป็นครูอาวุโส เห็นคุยกันว่า ตัวเองยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกเลย แต่ต้องไปสอนภาษาอังกฤษ) แล้วยังมีปัญหาครูไม่ครบชั้นอีก ปัญหาครูต้องไปทำเอกสารรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกและเอกสารอื่นๆ อีกมากมายก่ายกองต้องไปเบียดบังเวลาสอนอีก  ลูกศิษย์ปริญญาโทภาคพิเศษที่อาจารย์แม่เคยสอน ซึ่งประมาณ 98 % เป็นครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน บอกว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่เขียนกันขึ้นอย่างเลิศหรูนั้น เขียนเพื่อส่งให้ผู้บริหารตรวจเท่านั้น แต่สอนจริงเป็นอีกอย่าง อาจารย์แม่ฟังแล้วก็สะท้อนใจ (คงมีไม่น้อยเหมือนกันที่ครูไม่ได้จบวิชาเอกภาษาอังกฤษ แต่สอนได้ดีเพราะหาทางพัฒนาตนเอง อย่างน้อยก็มีครูที่เคยพักอยู่กับอาจารย์แม่ตอนที่อาจารย์แม่สอนโรงเรียนมัธยมในปีการศึกษา 2516 เธอจบป.ตรีชีววิทยาแต่ได้เป็นครูดีเด่นด้านการสอนภาษาอังกฤษชั้นป.6 และอาจหาญทำผลงานทางวิชาการประเภทหนังสืออ่านประกอบวิชาภาษาอังกฤษ 10 เล่ม เอาไปให้อาจารย์แม่ช่วยตรวจแก้ไข ถามว่าเขียนเองเหรอ เธอบอกว่า เขียนเองแล้วให้หลานที่จบป.โทภาษาอังกฤษ ซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งช่วยแก้ไข อาจารย์แม่อ่านดูแล้ว เป็นการเขียนแบบแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษตรงๆ เลยบอกว่าถ้าแก้ต้องแก้ใหม่ประมาณ 80 % และไม่มีเวลาแก้ให้ทั้งหมด (แก้ให้ครึ่งหนึ่ง) แนะนำให้ไปทำผลงานแบบอื่นที่ง่ายกว่า แต่เธอได้ส่งไป และไม่ผ่าน ต้องกลับไปทำประเภทอื่นจึงผ่าน)
  • ที่ลูกขจิตบอกว่า "มาบอกอาจารย์แม่ว่า แรงจูงใจในการเรียนสำคัญมากในการเรียนภาษาอังกฤษ" ตรงกับอาจารย์แม่เลยค่ะ ในบันทึกของอาจารย์แม่เนื้อหาตอนต่อก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักค่ะ พอดีเพิ่งลงส่วนหนึ่งของ "Introduction" เท่านั้น เมื่อเช้าดูข่าวจากสื่อต่างประเทศหลายประเทศที่ลงข่าวการเลือกตั้งของไทย ก็เลยจะเข้าไปสืบค้นและนำมาเสริมบันทึกนี้ เลยพักไว้ก่อนค่ะ พอดีมีงานที่คณะด้วย
  • นังลูกสาวอาจารย์แม่ไปทำบุญถวายพระประธาน โทรฯ บอกอาจารย์แม่ว่า จะไปถวายบ้านหัวขวา ที่ยโสธร เหมารถทัวร์ไป ชวนอาจารย์แม่ไปร่วม อาจารย์แม่ถามว่าบ้านนั้นอยูตำบล อำเภออะไร เธอบอก อ.เขื่องใน อาจารย์แม่บอกว่าถ้าเป็นอำเภอนี้ก็จะอยู่ในอุบลฯ ห่างออกไป 36 กม. จะไปร่วมเพราะไม่ไกล เธอบอกให้ไปรอที่เขื่องในหกโมงเช้าวันนี้ พออาจารย์แม่โทรถามตอนตีห้าครึ่งกลายเป็น อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร เลยยกเลิกไม่ไปร่วมเพราะห่างจากอุบลฯประมาณ 80 กม.
  • ถ้าอาจารย์แม่จะฝากแก้วมังกรไปให้ คงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ (มะม่วงหมดแล้วค่ะ พรุ่งนี้พ่อใหญ่สอจะเข้าเมืองไปขายแก้วมังกร อาจารย์แม่ไม่ได้ออกไปฟาร์มเลยช่วงนี้ ถามถึงจามจุรีสีทอง แกบอกไม่ได้ดูสามวันแล้ว อาจารย์แม่เลยบอกให้ถ่ายรูปไปให้ดูด้วย)  

แงๆๆๆอยากกิงแก้วมังกือเอ๊ยแก้วโอ่งอังกรมังอ่าจานแม่ขา

5555555

มากวนตากวนใจอีกแร๊ะค๊าท่านพี่ขา

 

และนี่ผลไม้แถวบ้านน้องค่ะ

คุณพี่จะรับสักลังไหมคะ

เดี่ยวจะส่งมาให้แบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋าเลยค่ะ

เหอๆๆ

สวัสดีครับอ.แม่

ผมตามครูกายมาครับผม...เลยได้หัวเราะไปด้วย เห็นพ้องกับอ.แม่อย่างยิ่งครับว่าครูกายท่านมีมนต์วิเศษจริงๆ

  • หายเงียบไปไหนพักหนึ่งนะ "น้องกายIco48" พี่เลยไม่ได้หัวเราะมาเป็นอาทิตย์
  • I have a sister who is a magician. This early morning, I saw her as a beautiful lady, but an hour later, I found her as a cup of hot coffee. Should I feel happy or nervous having such an amazing sister like her.  
  • บอกที่อยู่มาสิ จะส่ง "Dragon Fruits" ไปให้ (ใช้เวลานานเท่าไหร่ส่งถึงจ๊ะ) 
  • ผลไม้บ้านน้องชนิดนั้น...ทิ้งลงทะเลไปเลย ตลาดอุบลฯไม่รับซื้อจ้ะ
    • ขอบคุณค่ะ "ลูกหนานวัฒน์Ico48" ที่สนับสนุนอาจารย์แม่ น้องสาวของอาจารย์แม่คนนี้ "มันนักมายากลตัวจริง" เลยแหละ เซี้ยวจริงๆ
    • อย่าลืมแวะเข้าไปดูแบบวัดความเหมาะสมในการเป็นครูอีกครั้งนะคะ อาจารย์แม่นำไปทดลองใช้แล้ว และได้ปรับต้นฉบับให้สามารถ Copy ไปใช้ได้เลย รวมทั้งมีตัวอย่าง Feedback จากนักศึกษาด้วยค่ะ

    แว๊กจารย์แม่กะจารย์ลูกเข้ากันเป็นปี่บวกขลุ่ยเลยนะเจ้าคะ

    555

  • สมน้าหน้าIco48...
  • ว่าไงจะกินไหมจ๊ะ แก้วมังกรน่ะ ถ้ากินก็ส่งที่อยู่ไปให้ ถามแล้วก็ไม่ตอบ เล่นเฉไฉอยู่ได้ น้องคนนี้น่าตีนัก 
  • เมื่อแวะมาเข้าชั้นเรียนภาษาอังกฤษแล้วก็ควรศึกษาภาษาอังกฤษนะจ๊ะ (When you entered the English class, you should study English.) ไม่ใช่เข้ามาก่อกวนชั้นเรียน (Disturb the English Class) เฉยๆ ไหนบอกมาซิว่า ได้เรียนรู้คำศัพท์ (Vocabularies) วลี (Phrases) และประโยค (Sentences) อะไรบ้างจากสารสนเทศเกี่ยวกับการเลือกตั้ง (The Information Concerning the Thai General Election, 2011) ที่ให้ไว้ 
  • แวะมากราบงามๆอิอิ

    ไกลเกิ๊นเกรงว่าแก้วมังกรไปถึงก็จะกลายเป็นหินไปสิคะ

    ทานก็ไม่ได้อีกต้องเก็บไว้บูชาแล้วเกิดถูกรางวัลที่หนึ่งขึ้นมาต้องลำบากอีกเพราะมีคนอ้างเป็นญาติขอส่วนแบ่ง555

    ได้เรียนรู้และอ่านเข้าอยู่แค่เนี๊ยะแหละค่ะคุณพี่ขาเหอๆ

     Yinkluk  Shinnawatra               Abhisit Vejjajiva

     

    แล้วไม่มีคำศัพท์ชื่อท่านปุระชัยบ้างหรือคะอิอิ

     

    • เชียร์ท่านปุรชัยละสิ "น้องกาย"
    • หลังเลือกตั้ง ท่านปุรชัย (เกิดก่อนพี่ประมาณ 1 ปี 5 เดือน) ไม่เป็นข่าวเลย เพราะไม่ได้สร้างข่าวให้ตัวเองเหมือนคุณชูวิทย์ (เกิดหลังพี่ประมาณ 6 ปี 5 เดือน)

                  

            (Left) The Leader of Rak Santi Party, Purachai Piumsomboon. (Right) The Leader of Rak Prathet Thai Party, Chuwit Kamolvisit.

            ข่าวเนชั่นภาคภาษาอังกฤษ (http://www.nationmultimedia.com/specials/nationphoto/show.php?pid=11125) ได้อธิบายภาพข่าวของคุณชูวิทย์ (ภาพบนขวา) ไว้ว่า "Rak Prathet Thai Party leader Chuwit Kamolvisit confirms he will join the opposition parties. Eating crabmeat with the media, he signals his determination to act as a check-and-balance monitor." ซึ่งแปลความหมายได้ว่า "นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทยยืนยันที่จะเข้าร่วมเป็นพรรคฝ่ายค้าน เขาได้แสดงการกินปูกับสื่อ เพื่อสื่อความว่า เขาตกลงใจที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบและถ่วงดุลในสภา " 

             ตามที่พี่เรียนรู้มา การเขียน "ชื่อเฉพาะ" จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ จะเขียนตามการออกเสียง เช่น อุบลฯ ไม่ได้ออกเสียง "ล" ก็เลยเขียน "Ubon"  คำว่า "ชล" ในชลบุรี ก็เขียน "Chon" แต่ในนี้เขียนกมล เป็น "Kamol" ถ้ายึดตามหลักที่กล่าวมาต้องเขียน "Kamon" อีกอย่างเสียงตัว "V" ในภาษาไทยไม่มี ตัว "ว" ต้องใช้แทนด้วย "W" แต่ที่นี่ "วิทย์" ใช้ "W" แต่ "วิศิษฐ์" ตัว "ว" เหมือนกันแต่กลับใช้ "V" ชูวิทย์ เสียงสระอูก็น่าจะเขียน Choo เช่น เปี่ยมสมบูรณ์ เขียน "Piumsomboon" ถ้าเขียน Chu ก็จะออกเป็นเสียงสระอุเช่นเดียวกับ "Purachai"  

             เห็นบางแห่งเขียนชื่อพรรครักประเทศไทยว่า "Love Thailand Party" จริงๆ แล้วชื่อเฉพาะไม่ควรจะแปลออกมา ควรเขียนทับศัพท์ไปเลย และคำว่า "ประเทศ" ควรเขียนเป็น "Prathed"  

             คิดว่าน้องกายอาจไม่ได้สนใจที่จะรู้เรื่องพวกนี้หรอก ที่พี่ก็เขียนไปเผื่อจะมีคนอื่นสนใจอ่าน  

              

      

    ใครบอกล่ะคะว่าน้องจะไม่สนใจเรียนรู้ตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจเป็นอย่างมาก (คร่อก)วุ๊ยหางตกเอ๊ยคอตกน้ำลายไหลขออนุญาตท่านอาจารย์ผศ.วิไล แลบลิ้นเลียปากก่อนแผลบๆ5555

    เก่งไปหมดเลยนิพี่สาวเราอิอินับว่าเป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้าแน่แท้จริงเชียวที่ได้มารู้จักกับท่านพี่ในโลกของwww.gotokmow.org/

    พอทีกับน้าสาวที่เป็นอาจารย์ภาควิชาภาษาไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เจอกันก็ไม่ค่อยจะกล้าคุยกับน้า เมื่อตอนเด็กๆก็ปลื้มน้าสาวคนนี้มากน้าเป็นคนเรียนเก่งแต่ทั้งน้าทั้งหลานเป็นคนพูดน้อยเหมือนกัน พอทำงานน้าไปอยู่ที่ปัตตานีก็ยิ่งห่าง ได้ไปเจอน้าสาวครั้งสุดท้ายตอนไปอบรมครูแกนนำที่สอบได้คะแนนสูงในกลุ่มวิชาบรรณารักษศาสตร์ ตามโครงการยกระดับคุณภาพครูและผู้บริหารทั้งระบบตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง แต่น้าสาวเป็นอาจารย์ที่ไปให้การอบรมครูกลุ่มภาษาไทย อยู่ชั้น 8 น้องอบรมบรรณารักษ์ฯอยู่ชั้น 2 555

    น้าสาวคนที่  5 ค่ะ

    แม่น้องเป็นพี่คนโตสุด 

    ส่วนนี่เป็นน้าคนที่ 2 น้องรองจากแม่  น้าคนนี้จะสนิทกับน้องกายมากที่สุด  น้าเป็นคนตลกพูดมากอารมณ์ดี

    อายุ 63 ปีแล้วค่ะ ตอนหนุ่มหล่อม๊าก

    ตอนนี้ก็เหมือนในรูปนี้แหละค่ะน้องเป็นคนถ่ายรูปให้น้าเอง555 

    น้าหนังเหนียวแก่ยากกร๊าก

     

    คนนี้ใจดีมากกว่าใคร  แต่พูดน้อยมากเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิตมาตั้งแต่เด็ก  ตอนนี้เลยรวยกว่าเพื่อนในบรรดาลูกยาย

    น้าชายคนขยันเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของหลานๆ น้าสมพร   แซ่เง่า

     

    น้าสาวคนที่สี่ไม่มีรูปเพราะน้าไปอยู่ที่นนทบุรี ไม่ได้เจอนานมาหลายสิบปีแล้วค่ะ

    อ้าว ชื่อน้าสาวคนที่ 4 เหมือนคุณพี่เลยค่ะ

    คุณแม่น้องชื่อมาลี น้าชายคนที่ 2 นายสุทิน ที่ 3 นายสมพร ที่ 4 นางวิไล ที่ห้า นางมะลิ คนที่ 6 นายสมชาติ คนที่7 นางปริญชยา คนที่ 8 นายวุฒิภูมิ

    ยายของน้องเก่งป่าวล่ะ เกิดได้ไง ได้ลูกมาตั้ง 8 คนแน่ะ

    เรามีลุกแค่สองก็ลิ้นห้อยแล้ว เด็กสมัยนี้เลี้ยงยากเนอะ

    น้าสาวคนที่สี่ไม่มีรูปเพราะน้าไปอยู่ที่นนทบุรี ไม่ได้เจอนานมาหลายสิบปีแล้วค่ะ

    อ้าว ชื่อน้าสาวคนที่ 4 เหมือนคุณพี่เลยค่ะ

    คุณแม่น้องชื่อมาลี น้าชายคนที่ 2 นายสุทิน ที่ 3 นายสมพร ที่ 4 นางวิไล ที่ห้า นางมะลิ คนที่ 6 นายสมชาติ คนที่7 นางปริญชยา คนที่ 8 นายวุฒิภูมิ

    ยายของน้องเก่งป่าวล่ะ เกิดได้ไง ได้ลูกมาตั้ง 8 คนแน่ะ

    เรามีลุกแค่สองก็ลิ้นห้อยแล้ว เด็กสมัยนี้เลี้ยงยากเนอะ

    • ขอบคุณนะจ๊ะ "น้องกาย Ico48" ที่บอกว่า "ใครบอกล่ะคะว่าน้องจะไม่สนใจเรียนรู้ ตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจเป็นอย่างมาก (คร่อก)วุ๊ย (วุ้ยย่ะ : บอกแล้วไงอักษรต่ำใช้ไม้โทแต่ออกเสียงเป็นเสียงตรี เช่น เว้น ไว้ เขาเขียน เว๊น ไว๊ หรือเปล่าล่ะ) หางตกเอ๊ย (คำนี้ถูกแล้วเพราะอักษรกลางผันตรงตามวรรณยุกต์ ไม่เชื่อถาม "น้าลิ" ดูสิ...ไม่ได้โม้นะ เรียนวิชาการเขียนซึ่งเป็นวิชาภาษาไทยบังคับโดยเรียนร่วมกับนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทยตอนเรียนปกศ.สูง ปี 2513 อาจารย์ธวัช ปุณโณทก ให้พี่ "ก" คนเดียว และตอนไปเรียนป.ตรี เพื่อนเอกไทยก็ไห้เราที่เรียนเอกอังกฤษ แต่งโคลงกระทู้ให้อีก) คอตกน้ำลายไหล" เฮ้อ! น้องเรา...เรียนท่านี้เอาไปเลย คะแนนความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน "D+"
    • นับเป็น "ผลา : Fortune" ของพี่เช่นกันที่ได้มารู้จักกับน้องกายใน "gotoKmow" สงสัยชาติที่แล้วจะเคยทำบุญร่วมกัน
    • ที่ว่า "พอทีกับน้าสาวที่เป็นอาจารย์ภาควิชาภาษาไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี" จะบอกว่า "พอที" ได้ยังไง น้าไม่ได้ทำให้ตัวเองเจ็บช้ำน้ำใจซักหน่อย 
    • ที่ว่า "ทั้งน้าทั้งหลานเป็นคนพูดน้อยเหมือนกัน" .....น้าพูดน้อยนั้นเป็นไปได้ แต่น้องกายพูดน้อยนี่ "งง" แฮะ พฤติกรรมอย่างที่เธอเขียนใน "ร่วมแสดงความเห็น" ถ้าจินตนาการเป็นพฤติกรรม ภาษาปะกิดเขาเรียกว่าคน "Talkative" จ้า หรือ "คนช่างพูดช่างเจรจา" นั่นแหละ 
    • ขอบคุณที่ลำดับญาติให้ดู ฝากบอก "น้าสุทิน" ของเธอด้วยว่าตอนนี้ก็ยังหล่อ "อื้อฮื้อ! หล่อจัง" หล่อทั้งคน เท่ห์ทั้งรถ (พ่อใหญ่สอรู้ไม่ได้นะนี่ ขนาดไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไร แค่เขาจัดห้องพักให้ห้องอาจารย์ชายทลุถึงกันได้กับห้องอาจารย์หญิง แกยังไปโวยวายที่คณะให้อับอายขายหน้าประชาชี) ที่น้าดูหนุ่มกว่าอายุก็คงเป็นเพราะ "อ.ตัวที่ 5 อารมณ์ดี" นี่แหละ 
    • น้าคนที่ 8 กับน้องกายนี่อายุต่างกันแค่ไหนจ๊ะ
    • เด็กสมัยนี้เลี้ยงยาก ก็เพราะสิ่งแวดล้อมนี่แหละ ทั้งสภาพสังคม ทั้งสื่อสารมวลชน โลกยุคดิจิตอลล้วนเป็นดาบสองคมที่คอยจะยื่นคมอันตรายมาให้เด็กๆ อยู่เรื่อย
    • เมื่อคืนเผลอหลับไปไม่ได้ทำงาน ตื่นมาดูศูนย์รวมข้อมูล เห็นชื่อเธอชื่อพี่เรียงเป็นตับเลยลุกมาตอบ
    • โคอาล่า น่ารักมาก ตอนไปอยู่ Perth เมืองหลวงของ Western Australia ได้อุ้มเค้าด้วยแหละ หนักมาก
    • ข้อความที่ "แว้บไปแว้บมา" นี่ทำยังไงจ๊ะ สอนหน่อย และก็ที่เธอเอารูปพี่ไปจัดนิทรรศการด้วย ถามไว้ที่บันทึกนั้นว่าทำยังไงแต่เธอไม่ได้เข้าไปตอบ ก็ช่วยสอนตรงนี้เลยละกัน อีกอย่าง ถ้าพี่ต้องการมีเธอเข้าไปอยู่ในบัญชี "Following" ของพี่ พี่ต้องทำยังไงจ๊ะ ขอบคุณหลายๆ เด๊อ (คำนี้ถูกแล้วเพราะอักษรกลางผันตรงตามวรรณยุกต์) ที่จะช่วยตอบ 

     

    •  

     

    ขอบคุณ "คุณครูกิติยาIco64"ค่ะ ที่มาแวะเยี่ยมให้กำลังใจ

     

    *ขอบคุณสำหรับการวิเคราะห์ปัญหาสภาวะความรู้ภาษาอังกฤษที่น่าเป็นห่วงมากของเยาวชนในบ้านเมืองเรา..ทุกวันนี้ การเรียนเสริมนอกชั้นเรียนในลักษณะ edutainment จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากค่ะ..โดยเฉพาะการอ่าน ฟัง และ พูด..

    *จากประสบการณ์ของตนเองที่เคยมีหลานๆในวัยเรียนรู้..ป้าใหญ่มักใช้เวลาว่างกับพวกเขาในการอ่านหนังสือการ์ตูน การฟังเพลงและชมภาพยนต์บันเทิงภาษาอังกฤษเหมาะสมแก่วัย เสมอๆ..ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับประโยค..บทสนทนา รวมทั้งรูปศัพท์ อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่เกิดความเบื่อหน่ายเหมือนเรียนในห้องเรียน..ได้ผลทางอ้อมเป็นอย่างดีมากค่ะ

    *ขอบคุณที่แวะไปฝากประสบการณ์ดีๆที่บันทึก.. ขอชื่นชมในผลสำเร็จค่ะ

    แวะมาหอมแก้มก่อนนอน( จ๊าก )โดนท่านพ่อใหญ่สอถีบ

    ทั้งภาพทั้งอักษรกระคุ๊กกระดิ๊กไปก็อปโค๊ดมาค่ะจากเว็บสนุก ที่กระปุกก็มีค่ะ เยอะแยะตาแป๊ะไก่

    ส่วนภาพคุณครูอัมพรนี่ค่อนข้างใช้เวลาเพราะเป็นการตัดต่อ กับ Paint ต้องเลือกรูปมาและตัดสินใจแบบเด็ดเดี่ยวอิอิ

    ตัดชับๆตัดให้ขาดไปเลยแล้วก็เอามาต่ออีกครั้งกับร่างใหม่เหอๆ ดีนะคะที่คุณครูอัมพรท่านไม่ว่าอะไรอิอิเห็นรูปร่างครูอัมพรแล้วน่าไปเป็นทหารหญิงมาก เลยเอามาเล่นซะจนไม่น่าให้อภัย5555

    • ขอบพระคุณ "คุณพี่ใหญ่นงนาท สนธิสุวรรณIco48" มากค่ะ ที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึก ของอาจารย์โนเนมคนนี้ (ขออภัยนะคะถ้าใช้ภาษาไม่เหมาะสม)
    • จากการศึกษากรณีตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในเมืองไทย จนสามารถนำไปใช้งานได้จริง พบว่า ทกคนเป็นผู้เรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเองเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนทั้งนั้นค่ะ เพราะฉะนั้น จึงเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ กับข้อคิดของ "คุณพี่ใหญ่" ที่บอกว่า "การเรียนเสริมนอกชั้นเรียนในลักษณะ edutainment เป็นเรื่องจำเป็นมาก..โดยเฉพาะการอ่าน ฟัง และ พูด" อย่างน้องเองก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองในทุกที่ทุกเวลาค่ะ เช่น จากการดู-ฟังรายการ TV การอ่านตำรา งานวิจัย และเอกสารจากการสืบค้นทาง Internet การสนทนากับอาารย์ชาวต่างชาติ รวมทั้งการรวบรวมบันทึกของสมาชิก "Gotoknow" ที่เขียนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เข้าใน Plannet "English Learning" เพื่อติดตามศึกษาค่ะ ต้องศึกษามากๆ อย่างต่อเนื่องเพราะ "ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่ารู้น้อย แต่ก็โง่น้อยลงที่ไม่หลงว่ารู้มาก" ค่ะ
    • หลานๆ โชคดีจังนะคะ ที่มีญาติผู้ใหญ่อย่างคุณพี่ ที่เข้าใจและได้ใช้หลัก "Edutainment" ซึ่งเป็นกลวิธีเสริมสร้างแรงจูงใจภายในในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาที่สองให้กับหลานๆ  โดยการ "พาหลานๆ อ่านหนังสือการ์ตูน ฟังเพลงและชมภาพยนต์บันเทิงภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับวัยเสมอๆ ทำให้หลานๆ เกิดความคุ้นเคยกับประโยค..บทสนทนา รวมทั้งรูปศัพท์ อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่เกิดความเบื่อหน่ายเหมือนเรียนในห้องเรียน"
    • ถ้าผู้ปกครองและ/หรือญาติผู้ใหญ่ได้ให้เวลา และได้นำกลวิธีส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้กับบุตรหลานอย่างที่คุณพี่ได้ปฏิบัติ ก็จะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ในวิชาภาษาอังกฤษของเด็กและเยาวชนไทยสูงขึ้นแน่นอนค่ะ เพราะลำพังการเรียนรู้ในห้องเรียนไม่เป็นการเพียงพอค่ะ
    • ขอขอบพระคุณคุณพี่อีกครั้งค่ะ ที่กรุณาให้เกียรติ และแบ่งปันประสบการณ์ที่มีคุณค่า รวมทั้งได้ให้การเสริมแรงในโครงการที่น้องได้ทำในชนบทค่ะ
    • วันนี้ได้พัก 1 วัน เลยมาก่อกวนอาจารย์แม่ได้
    • เพิ่งกลับมจากสุราษฯ
    • มาถึงก็ก่อกวนอาจารย์แม่ได้เลย
    • ฮ่าๆๆ

    สวัสดีครับคุณพี่

    • ภาษาอังกฤษคงเป็นปัญหาโลกแตกของประเทศไทย  แต่อย่ากังวัลเลยครับ
    • เมื่อตอนผมไปอลาสกาบนเรือสำราญ  มีคนไทยประมาณ ๖๐ คน บางคนเป็นคนเสริฟอาหาร เป็นคนทำความสอาดห้องบ้าง เป็น รปภ บ้าง เขาได้เงินวันละ $25 ปีๆหนึ่งมีเงินเก็บเป็นแสน  เพราะอยู่แต่ในเรือไม่มีค่าใช้จ่าย
    • ผมถามเขาว่ามาได้อย่างไร เขาบอกว่าสมัครกับกรมแรงงานหรือกับบริษัทหางานแถวรามกำแหง  แต่ต้องมีประสพการณ์การโรงแรมมาก่อน  ต้องไปเข้าคอร์สอบรมวิชาโรงแรมครับ
    • ประเดี้ยวเดียวก็พูดภาษาอังกฤษได้   พอทำงานไปสองสามปีก็พูดได้เอง
    • ความจำเป็นบังคับ
    • ผมมีหลานสามสี่คนจบปริญญาตรีเมืองไทย พูดอังกฤษไม่ค่อยได้
    • บางคนก็เรียนต่อได้  บางคนก็หมดปัญญาเรียน  ต้องออกมาหางานทำ
    • ขึ้นอยู่กับการศึกษาตอนเด็กครับ
    • เคยเอาหลานชายมา จบเมืองไทย ป ๔  รู้แค่ A B C
    • ตอนนี้เขาจบปริญญาโทแล้ว  พูดเก่งกว่าน้าเสียเอง
    • แต่อย่างไรก็ตามจะไปเทียบกับเด็กที่เกิดเมืองนี้ คงเป็นไปได้ยาก
    • ลูกสาวตอนไปฝึกงานเมืองไทย ไปหางานสอนภาษาอังกฤษแถวมาบุญครอง
    • เขาจะจ้างแค่ชั่วโมงละ สองร้อยบาท  เธอไม่ยอมเอา
    • เพราะจ้างต่ำเกินไป
    • เด็กไทยบนเรือที่ผมเจอ  เขาบอกว่าได้กลับเมืองปีละครั้ง
    • ตอนกลับซื้อแหวนเพชรงามๆไปให้ภรรยา  เขาบอกว่าราคาถูกกว่าเมืองไทย
    • ภรรยาคงดีใจ สามีกลับมาพร้องกับเงินและแหวนเพชร

     

    ร.ร.ยังอยู่ต่อ  เด็กๆดีใจ   ทั้งผู้ปกครอง  ผอ.ก็โล่งใจ  แต่ครูสงสัยจะไม่มีเวลาได้หายใจ  

    เรื่องจริงอันเป็นข้อผิดพลาดที่ผมกระทำมาก็คือ มีทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ พลอยให้ไม่ได้ใส่ใจในการเรียน แต่ก็ไม่เคยสอบตก  ถึงกระนั้นก็พลอยให้ตัวเองกลายเป็นคน "อ่อนด้อย" ในภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย

    ครับ เรื่องทัศนคติเป็นเครื่องนำพาโดยแท้  ทัศนคติ เหมือนเข็มทิศและยุทธศาสตร์ของชีวิต...

    ขอบพระคุณครับ

    ใช้ท็อกกิ้งดิก  รับรองเริดอิอิ

    อ้าวแล้วคุณพี่เราหายไปไหนล่ะนี่หรือว่าไปบวชชีซะแล้ว..วิ๊ว

    • นี่ "ลูกขจิตIco48" เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ดีๆ เจาะเวลาหาอดีตเป็น "เด็กชายขจิต" ก่อกวนชั้นเรียนไปแล้วเหรอนี่
    • ไม่ต่างกับ "เด็กหญิงกายจอมเซี้ยว" เลยนะ สงสัยติดโรคจากหล่อนไปแล้ว
    • กลับจากใต้ขึ้นอีสานเลยนะคะ อยู่มรภ.บุรีรีมย์ นั่งรถด่วนอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงวารินแล้ว ถึงเมื่อไหร่บอกด้วยนะคะจะได้ให้พ่อใหญ่สอไปรับเข้าฟาร์มไปเก็บแก้วมังกร
    • ขอบคุณค่ะ "คุณคนบ้านไกลIco48" ที่แวะมาเยี่ยม Blog เรียนรู้ภาษาอังกฤษของพี่ พี่เองเรียนรู้ภาษาอังกฤษอยู่ทุกวัน (เพราะยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่ารู้น้อย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเรียนรู้จากข่าวภาคภาษาอังกฤษ และรายการสอนภาษาอังกฤษทาง TV
    • เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ ที่บอกว่า คนไทยที่ไปอยู่อเมริกา "พอทำงานไปสองสามปีก็พูดได้เองเพราะความจำเป็นบังคับ" เพราะการเรียนรู้ภาษา จะเรียนรู้ให้สามารถสื่อสารได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟัง-การพูด ต้องเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้มีโอกาสสื่อสารกับเจ้าของภาษาอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นจะต้องสื่อสารกันให้รู้เรื่องเพื่อให้สามารถทำงานด้วยกันได้
    • ภาษาอังกฤษที่ฟังยากก็คือ "สำเนียง Aussie" ค่ะ ยอมรับเลย ตอนที่ลูกชายไปเยี่ยมพี่ที่เมือง Perth, เมืองหลวงของรัฐ Western Australia พี่ก็ให้เขาสื่อสารกับชาว Aussies เอง (เขาพอใช้ภาษาอังกฤษได้ เรื่องหลักภาษาใช้ได้ดีเลยแหละ เห็นได้จากทำหน้าที่ติวเตรียมสอบให้แฟนที่เรียนปริญญาตรีวิชาเอกภาษาอังกฤษ ทั้งที่ตัวเองเรียน "วิศวะอิเล็ก" ไม่แน่ใจว่าติวถูก แต่ลองฟังดูการเลือกคำตอบที่ถูกต้องก็พบว่าติวได้ถูกจริงๆ ลูกสาวที่ต้องเขียนสื่อสารทางธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษยังต้องถามเขาเลย แปลกนะคะเพื่อนของลูกสาวที่ตั้งบริษัทด้วยกันจบวิชาเอกภาษาอังกฤษ แต่ทั้งการพูดการเขียนสื่อสารกับลูกค้า กลับมอบหน้าที่นั้นให้ลูกสาวของพี่ที่เรียนคณะแพทย์) กลับมาที่ลูกชาย เวลาไปซื้ออาหารพี่ก็บอกประโยคสื่อสารให้เขา แล้วให้เขาไปดำเนินการเอง ส่วนพี่จะนั่งรออยู่นอกร้าน แรกๆ ก็ได้อาหารมาไม่ตรงกับที่ต้องการ อีกครั้งหนึ่งเขาต้องการใช้  Mobile Phone ที่นำไปจากเมืองไทย ซึ่งก็ต้องโทรศัพท์ไปลงทะเบียน ก็ให้เขาสื่อสารเอง ปรากฏว่าเขาก็กล้าที่จะสื่อสาร แต่ปรากฏว่า ไม่ได้ผล ลูกเขียน  Opended Diary ไว้ว่า เสียความมั่นใจไปเยอะเลย แต่เขาก็ไม่ท้อถอย วันหลังลองใหม่และก็ทำได้สำเร็จ การพูดภาษาอังกฤษนี่มีสูตรสำคัญข้อแรก คือ "ความกล้าและไม่กลัวผิด" นั่นเอง สมัยพี่เรียนอาจารย์สอนเน้นไวยากรณ์ ไม่ได้เน้นการฟัง-พูดซึ่งขัดกับหลักการเรียนรู้ภาษาทำให้พูดไม่ค่อยได้เหมือนกัน พี่ต้องมาเรียนรู้การพูดด้วยตนเองภายหลัง มีรุ่นพี่คนหนึ่งจบป.ตรีเอกอังกฤษ พี่นั่งสนทนากับชาวต่างชาติกับลูกสาวของท่านที่ไปเรียนสนทนาด้วย พี่เห็นท่านเดินผ่านมาเลยกวักมือเรียก ท่านก็ไม่ยอมเข้าไป และสารภาพภายหลังว่า กลัวการพูดภาษาอังกฤษ แปลกไหมคะ พี่เห็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน เวลาประชุมสัมมนาทั้งในและต่างประเทศที่ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษ ไม่เคยเห็นมีใครพูดสื่อสารแม้แต่ครั้งเดียว  
    • ขอบคุณค่ะ "ลูกแผ่นดินIco48" ที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม Blog เรียนรู้ภาษาอังกฤษของอาจารย์แม่ ทั้งที่มีทัศนคติ หรือเจตคติ (Attitude) ทางลบต่อภาษาอังกฤษ
    • การที่ผู้เรียนมีเจตคติที่ไม่ดีต่อบทเรียนไม่ใช่ความผิดของผู้เรียนหรอกค่ะ แต่เป็นความบกพร่องของครูที่ไม่สามารถทำให้ผุ้เรียนมีเจตคติที่ดีได้
    • ดีใจด้วยนะจ๊ะ "แม่นกเงือกIco48ณ ป่าฝน" ที่จะได้ทำงานหนักต่อไปที่โรงเรียนเดิม
    • ซื้อ Talking Dictionary มาใช้หรือเปล่าล่ะ ถ้าตอบ "Yes." หรือ "Certainly." ก็ขอเปลี่ยนผลการประเมินแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจาก D+ เป็น B แต่ถ้าแอบรู้ว่าซื้อมาอวดเพื่อนไม่มุ่งนำไปใช้ประโยชน์จริงก็จะเปลี่ยนเป็น C
    • ตกข่าวแล้วป้า ลองเข้าไปที่ Blog "Pridetoknow" สิ แล้วจะได้คำตอบว่า พี่ของเธอไม่ได้หนีไปบวชชี บวชไม่ได้หรอก กลัวไม่สงบเพราะพ่อใหญ่สอจะตามไปก่อกวน
    • เลิกคุยแล้ว ต้องเตรียมสอนเช้า และเป็นวิทยากรบ่าย เขาปรับตารางอบรมของพี่จาก 2 วัน วันละ 2 ชม. มาเป็นวันเดียว 13.00-17.00 น.  งานนี้ผอมลงแน่ๆ ต้องวิ่งรอกสอน เป็นวิทยากร และนิเทศอีกนาน  

    ทำอย่างไรให้การเลือกตั้งไม่มีการแจกเงิน

    แจกของ สัญญาว่าจะให้

    ข่มขู่ฆ่ากัน ไม่มีหัวคะแนนหาเงิน

    ทำไงดีครับ 

    • ยากค่ะ "ท่านโสภณIco48คำถามที่ท่านถาม "ทำอย่างไรให้การเลือกตั้งไม่มีการแจกเงิน แจกของ สัญญาว่าจะให้ ข่มขู่ฆ่ากัน ไม่มีหัวคะแนนหาเงิน" ดิฉันคิดว่า ทั้งในชาตินี้ และชาติหน้าของดิฉัน (หากมี) ก็แก้ปัญหาไม่ได้
    • ตอนดิฉันอยู่บ้านพักข้าราชการ ก็เห็นคนใกล้บ้าน (มาจากภาคกลาง) เป็นหัวคะแนน นำเงินไปแจกบ้านต่างๆ ยกเว้นบ้านดิฉัน (สงสัยจะรู้ว่าดิฉันแอนตี้พฤติกรรมเช่นนี้ ไม่ใช่ไม่คุ้นกันนะคะ เพราะเขาเป็นหม้ายและฝากลูกชายให้มาทำการบ้านกับลูกดิฉันเป็นประจำ  สมัยนั้นลูกๆ ยังเรียนชั้นประถมศึกษาค่ะ)
    • เลือกตั้งที่ผ่านมา คนใกล้บ้านดิฉันก็เป็นหัวคะแนนของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เธอยังบอกให้ดิฉันจดบ้านเลขที่และผู้มีสิทธิ์ไปให้แล้วจะนำเงินจากพรรคการเมืองมาให้ ดิฉันอยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็พูดไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยได้แต่ยิ้มๆ แม่ค้าขายส้มตำที่ดิฉันคุ้นเคยก็เป็นหัวคะแนน ยังถามดิฉันว่าได้เงินไหม ดิฉันถามตรงๆ ว่าเป็นหัวคะแนนให้พรรคไหน และเธอก็ตอบตรงๆ เช่นกัน ไม่ผิดคาดเลยว่าเป็นพรรคอย่างที่รู้กัน
    • ดิฉันอึดอัดใจมากในพฤติกรรมของคนภาคเดียวกัน ในเรื่องการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง จนขอให้นักศึกษาที่เรียนกับดิฉันเขียน หมายเลขที่เลือก รวมทั้งเหตุผลที่ใช้ในการตัดสินใจเลือกสส.แบบแบ่งเขตฯ และเลือกพรรคการเมือง โดยบอกว่าจะ "วิเคราะห์เป็นภาพรวมในประเด็นการใช้เหตุผลของนักศึกษา" เท่านั้น ซึ่งก็พบว่า นักศึกษาส่วนหญ่เลือกพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค โดยการเลือกพรรคหมายเลข 10 ส่วนใหญ่ให้เหุตผลว่า เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่มีคุณภาพ ครอบครัวยอมรับพรรคนี้มานาน พอใจนโยบายด้านการประกันราคาข้าว และอยากให้นายอภิสิทธฺ์เป็นนายกต่อไป  ส่วนที่เลือกพรรคหมายเลข 1 ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ชอบนโยบายการศึกษา อยากได้นายกหญิง อยากให้การเมืองเปลี่ยนแปลง และการเลือกบุคคลส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าเป็นคนที่ลงพื้นที่ตลอด มีผลงานในอดีต และเป็นคนในท้องที่   

    กลับมาติดตามผลครับ

    และเจรจาเพิ่มเรื่อง วิจัยด้านภาษาอังกฤษ

    มีทางไหนแนะกันบ้างครับ

    ผมไม่มีใจรักทางด้านนี้เท่าใดเลย

    แต่สภาพแวดล้อมเคล้นคลึงผมจนจะน่วมแล้ว

    • เรียนท่าน "ผศ.โสภณ เปียสนิทIco48" ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้ามารับรู้ "Request" ของท่านช้าไป
    • จาก "Request" ของท่านที่ว่า "กลับมาติดตามผลครับ และเจรจาเพิ่มเรื่อง วิจัยด้านภาษาอังกฤษ มีทางไหนแนะกันบ้างครับ ผมไม่มีใจรักทางด้านนี้เท่าใดเลย แต่สภาพแวดล้อมเคล้นคลึงผมจนจะน่วมแล้ว" เอาเป็นว่า จะเขียนบันทึกใน Blog "Learntoknow" เกี่ยวกับการวิจัยด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษก็แล้วกันนะคะ ขอเวลาสัก 3 วัน เตรียมต้นฉบับค่ะ
    • งานวิจัยประเภทที่เหมาะสำหรับครูอาจารย์และเป็นนโยบายทางการศึกษา คือ การวิจัยชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหา/เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนค่ะ
    • ขอข้อมูลด่วนด้วยนะคะว่า กลุ่มเป้าหมายที่ท่านจะทำการวิจัยคือใคร ตัวอย่างเช่น ที่ดิฉันเคยทำ “กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1-2 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาพฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตนกับผู้วิจัยในภาคเรียนที่...ปีการศึกษา....” สภาพปัจจุบัน และปัญหาในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ข้อมูลแรงจูงใจในการเรียน (องค์ประกอบของแรงจูงใจดิฉันได้อธิบายไว้แล้วในบันทึกนี้ค่ะ) พฤติกรรมการเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นต้น  
    • ภาคเรียนนี้คงทำได้แค่การวางแผนการวิจัยนะคะ ปฏิบัติการวิจัยคงจะต้องเป็นภาคเรียนที่ 2/2554 ค่ะ เพราะฉะนั้น กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยต้องเป็นกลุ่มที่ท่านจะสอนในภาคเรียนหน้า ค่ะ
    • ขอข้อมูลตามที่กล่าวมา ด่วนเลยนะคะ 
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท