เมื่อวันที่ ๒ สค. ๔๙ ผมไปร่วมประชุมเพื่อให้ความเห็นโครงการจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Studies) ได้ให้ความเห็นว่า แนวทางที่คณะผู้ยกร่างโครงการเสนอไว้ ผมเรียกว่าแนวทางวิจัยและพัฒนา แล้วต่อไปจึงขยายผล เป็นแนวทางที่ใช้กันโดยทั่วไป ใช้การวิจัยเป็นหลัก
แต่ในประสบการณ์ของผม มีอีกแนวทางหนึ่งที่อาจจะดีกว่าในแง่ของการครอบคลุมทั่วทั้งสังคมโดยเร็ว ผมเรียกว่า แนวทาง KM ใช้ แนวคิดแบบ KM
ต้องย้อนกลับไปที่เป้าหมายของโครงการจิตตปัญญาศึกษา เป้าหมายใหญ่คือการพัฒนาการศึกษาของเราให้มีสมดุลของการเรียนรู้ภายนอกกับการเรียนรู้ภายใน เวลานี้การศึกษาของเรา เราเรียนกันเฉพาะเรื่องภายนอก เพื่อการทำมาหากิน เราไม่ได้เรียนรู้ด้านในเพื่อการรู้จักตัวเอง
จิตตปัญญาศึกษาเป็นการเรียนรู้ด้านในเพื่อการรู้จักตัวเอง ถ้าแพร่หลายไปทั่วทั้งสังคม บ้านเมืองของเราก็จะไม่ถูกเผาด้วยไฟกิเลสตัณหาอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้
การออกแบบโครงการเพื่อการพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผมมองว่ามีได้ ๒ แนว คือแนววิจัย กับแนว KM
อย่างกรณีโครงการจิตตปัญญาศึกษา ถ้ายึดแนววิจัย เราจะถือว่าสังคมไทยยังไม่มีใครดำเนินการศึกษาที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้านใน ต้องพัฒนาตัวแบบขึ้นมาก่อน แล้วจึงถ่ายทอดตัวแบบที่เราพัฒนาขึ้น ออกไปกว้างขวาง
แต่คิดแบบ KM ต่างกันในลักษณะตรงกันข้าม คือคิดว่าการเรียนรู้ด้านใน มีอยู่แล้วในหลายที่หลายพื้นที่ในสังคมไทย แต่อาจมีอยู่ในรูปแบบที่ไม่ครบถ้วน ยังไม่เป็นระบบชัดเจน หรือยังไม่ได้ผลนัก แต่กิจกรรมของบางสำนักก็มีจุดแข็ง หรือความสำเร็จในบางจุด และของอีกบางสำนักก็มีความสำเร็จในจุดที่แตกต่างออกไป การออกแบบโครงการก็จะออกแบบให้ดำเนินการค้นหา "สะเก็ดจิตตปัญญาศึกษา" ที่มีอยู่แล้ว และเชิญผู้ปฏิบัติจริง มา ลปรร. กัน เพื่อสร้างรูปแบบหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นระบบยิ่งขึ้น
คิดแนววิจัย ยังไม่มี ต้องพัฒนาตัวแบบขึ้นมา
คิดแนว KM มีอยู่แล้วมากมาย แต่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เชิญผู้ปฏิบัติจริงมา ลปรร. เพื่อยกระดับความรู้ (ปฏิบัติ)
ออกแบบโครงการแนววิจัย ทำในกลุ่มเล็กก่อน ขยายผลทีหลัง
ออกแบบแนว KM ทำเป็นเครือข่ายตั้งแต่แรก เป็นเครือข่ายของผู้ทำจริง ผู้มีใจเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ
วิจารณ์ พานิช
๓ สค. ๔๙
อาจาย์ค่ะ ข้อความของอาจารย์นู๋อ่านแล้วรู้สึกมีความประทับมากจริงๆๆค่ะ
นู๋อยากจะขอเรียนเชิญมาเป็นวิทยากรพูดในบริษัทได้รึเป่าค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ