ขอขอบพระคุณสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยนพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. ให้เกียรติเป็นประธานการประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนกลไกการส่งเสริมสนับสนุนนักกิจกรรมบำบัดในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เวลา 9.30-12.30 น. ณ ห้องประชุม 204 สปสช. อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
รวมทั้งขอขอบพระคุณคุณอรจิตต์ ผอ.สำนักสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคีและผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ และทีมงานฯ ร่วมกันสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ร่วมกับพี่โฉมยงค์ ตัวแทนนักกิจกรรมบำบัดคนเก่ง ที่เชิญนักกิจกรรมบำบัดจากสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาลในหลายระดับ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
1. โจทย์จากเวทีแรกนี้คือ "นักกิจกรรมบำบัดจะมีกลยุทธ์ในเชิงระบบร่วมกับสปสช.อย่างไรในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนนักกิจกรรมบำบัดในชุมชน"
2. ตัวเลขที่น่าสนใจคือ มช.และม.มหิดล เป็นเพียงสองสถาบันการผลิตนักกิจกรรมบำบัดได้ปีละไม่เกิน 120 คน แต่ประเทศไทยมีนักกิจกรรมบำบัดที่ได้ใบประกอบโรคศิลปะ ณ วันนี้คือ 725 คน กระจายตัวทำงานในสถานพยาบาลทั่วประเทศเพียง 439 คน เกิดอัตราการสูญเสียกำลังคนสูง
3. นักกิจกรรมบำบัดทำงานใน 34 จังหวัด และโรงพยาบาลประจำจังหวัดที่เหลือยังคงมีความต้องการนักกิจกรรมบำบัด แต่บางที่ฝ่ายบริหารยังไม่เข้าใจบทบาทนักกิจกรรมบำบัด ซึ่งหากเข้าใจบทบาทสามารถทำเรื่องการขอจ้างภายในโรงพยาบาลหรือประสานงานกับสปสช.ได้ในส่วนกองทุนตาม กม. ส่วนท้องถิ่น ที่สามารถจัดสรรมาจ้างนักกิจกรรมบำบัดชุมชนได้โดยเฉพาะโรงพยาบาลระดับจังหวัดเพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงแก่สหวิชาชีพอื่นๆ ในระดับตำบลและชุมชนต่อไป
4. ประชากรไทยเข้าถึงการให้บริการทางกิจกรรมบำบัดเพียง 11.17% ส่วนใหญ่มีครบทุกโรงพยาบาลศูนย์ภาคเหนือ รองมาคือ ภาคกลางและภาคอีสาน ยังขาดแคลนอย่างมากในภาคอื่นๆ
5. ตัวเลขของนักกิจกรรมบำบัดในสถานพยาบาล/จำนวนที่ต้องการ คือ โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) 20/25 โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) 14/69 โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) 21/700 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 1/7,000 และหน่วยงานสุขภาพชุมชนกว่า 70,000 หมู่บ้านที่มีนักกิจกรรมบำบัดช่วยเหลืออยู่เพียง 100 หมู่บ้าน จะเห็นว่าใน 5-10 ปี สถาบันการผลิตก็ไม่มีแนวโน้มผลิตนักกิจกรรมบำบัดได้ทันตามความต้องการของประชากรทุกระดับ
6. ในส่วนนักกิจกรรมบำบัดที่สังกัดศูนย์การศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ นั้นยังแสดงบทบาทนักกิจกรรมบำบัดไม่ได้เต็มศักยภาพ เพราะข้อจำกัดของตำแหน่ง "ครูกิจกรรมบำบัด" ที่เน้นวุฒิการศึกษาครูเพิ่มเติมเพื่อไปสอนวิชาต่างๆ (อบรม 2 ปีและสอบ) โดยไม่มีโอกาสทำงานในฐานะ "นักกิจกรรมบำบัดในโรงเรียน" ได้มากนัก ดังนั้นสปสช. อาจเปิดเวทีให้กระทรวงสาธารณสุข (กรมการแพทย์ และกรมสุขภาพจิต) กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศูนย์การศึกษาพิเศษ) มีทำความเข้าใจและให้นักกิจกรรมบำบัดในโรงเรียนมีโอกาสพัฒนางานมากขึ้น
7. ในปีงบประมาณ 5 ปี นักกิจกรรมบำบัดควรประชุมประจำทุก 3 เดือนเพื่อสร้างกลยุทธ์และกรอบแนวคิดเชิงระบบในการพัฒนางานกิจกรรมบำบัดในชุมชนให้เป็นที่ประจักษ์ในสังคมไทย โดย สปสช. จะคิดกลยุทธ์ให้เกิดเครื่อข่ายหน้างานและร่องรอยของระบบการให้บริการ พร้อมให้ข้อเสนอแนะ เช่น
อย่างไรก็ตามการพัฒนากำลังคนให้เกิดความรู้สึกและความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพกิจกรรมบำบัด ที่เกิดความสุขในการพัฒนาตนเองเพื่อส่วนร่วม เช่น ทำหน้าที่ของตนเองในวิชาชีพกิจกรรมบำบัดให้ดีที่สุดและยั้งยืนในหน่วยงานบ้านเกิด เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ควรกระจายคนไปในชุมชนย่อยเกินไป ซึ่งต่างจากวิชาชีพกายภาพบำบัดที่มีสถาบันผลิตเพียงพอ
ท้ายสุดนี้ นักกิจกรรมบำบัดในชุมชน มีบทบาทที่น่าสนใจอย่างสากล คือ
1. สร้างแนวทางการจัดการตนเองให้บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และ/หรือ จิตสังคม ทุกช่วงวัย มีความสุขความสามารถในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตอย่างอิสระ ไม่พึ่งพิงผู้อื่นมากจนเกิดความเหมาะสม และปลอดภัย
2. เพิ่มคุณภาพชีวิตชุมชนทั้งระดับผู้ที่ต้องการพัฒนาความสามารถในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตและผู้ดูแลที่ช่วยเหลือในระดับพลังกลุ่มกัลยาณมิตรที่มีความพร้อมในการฟื้นฟูฯ เช่น การฝึกกิจวัตรประจำวันที่ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น, การสำรวจความต้องการในกิจกรรมบำบัดระดับเร่งด่วน ปานกลางใน 3 เดือน และน้อยใน 6 เดือน, มีการประเมินที่ใช้ได้จริงในชุมชนแต่ละระดับ, การให้บริการจิตอาสามืออาชีพ, การปรับสภาพบ้านและสิ่งแวดล้อมที่เสริมสร้างความสามารถของมนุษย์อย่างพอเพียง, และการออกแบบและประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วย/เสริม เป็นต้น
- OT กับ สปสช. มาประชุมร่วมกันเพื่อเข้าใจบทบาทของ OT ที่แท้จริง
- ตีพิมพ์, ให้ความรู้ทางด้านกิจกรรมบำบัด เพื่อจะทำให้ทราบว่า OT จะสามารถช่วยผู้รับบริการในประเภทไหนบ้าง
- OT ควรมีการให้เหตุผลทางคลินิกเพื่อให้สามารถยืนยันว่าบทบาทของวิชาชีพ OT สามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม
เช่น วีดีโอ
บทบาท OT ที่เห็นเป็นรูปธรรม
- พิจารณาเครื่องช่วยให้เหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละคนและมีการสอนวิธีอุปกรณ์เครื่องช่วยที่ถูกต้อง โดย OT จะมีการติดตามผลการใช้
อุปกรณ์เครื่องช่วย, การซ่อมบำรุง
- ไปเยี่ยมบ้าน และนำบริบทที่อยู่ในบ้านมาปรับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เหมาะสมกับผู้รับบริการ
FoR
- นำกรอบอ้างอิง PEOP มาพิจารณาในการปรับใช้เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้
- นำกรอบอ้างอิง Psychosocial มาส่งเสริม self-value ของผู้รับบริการ
- นำ KAWA Model ให้คนในชุมชนมาช่วย support ทางด้านจิตใจของผู้รับบริการ
- บอกบทบาท OT ในฝ่ายจิต
>> Time management จัดการเวลาให้สมดุลในชีวิตประจำวัน โดยดูบริบทของแต่ละบุคคล
>> การฝึกให้เขาสามารถกลับไปใช้ชีวิตในชุมชนได้ เช่น การจัดการอารมณ์ การฝึกอาชีพ
>> สร้างความเข้าใจในครอบครัวเพื่อประโยชน์ของผู้รับบริการ
>> อยากให้ OT รู้หลักของสิทธิประกันสุขภาพ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ญาติในการช่วยเหลือผู้รับบริการ และได้รับสิทธิที่ถูกต้อง
>> จัดโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น ในองค์กร หรือในชุมชน
>> จัดโปรแกรมการป้องกันสุขภาพจิต เน้นการลงไปในชุมชน ซึ่งจะสามารถส่งเสริมสุขภาพจิตได้ในผู้รับบริการทุกกลุ่ม
- FoR ในการจัดโปรแกรม
>> Psychosocial Rehabilitation ร่วมกับ PEOP ดูเรื่องบทบาทการทำงาน และจำกัดสิ่งเร้าในชุมชน เพื่อให้เขาใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างมีความสุข
ot สามารถนำเสนอบทบาทของตนเองให้กับองค์กรหรือ สปสช ได้อย่างไร
- แสดงบทบาทของนักกิจกรรมบำบัด ให้เห็นความแตกต่างกับวิชาชีพกายภาพบำบัด หรือครูการศึกษาพิเศษ โดยแสดงองค์ความรู้ของกิจกรรมบำบัด หลักการ กรอบอ้างอิงให้ขัดเจนมากขึ้น
- แสดงบทบาทว่าเราคือ "นักกิจกรรมบำบัด" บอกความแตกต่างและอธิบายให้ชัดเจน เช่น การพัฒนาเด็ก , การปรับพฤติกรรมทักษะชีวิต(Occupational behavior) หรือการดัดแปรสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต โดยใช้หลักการและกรอบอ้างอิงมาสนับสนุน
-นำกรอบอ้างอิงในการทำงานไปประยุกต์ใช้ได้จริงในชุมชน เช่น FoR sensory integration ปรับสิ่งแวดล้อม(สิ่งเร้า)ให้สมดุลเน้นการใช้ชีวิตที่บ้านและโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่
-เน้นให้ความรู้กับผู้ปกครอง โดยให้ผู้ปกครองรู้การรักษา ให้ Home programe รู้จักการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก
-ให้ผู้ปกครองรู้สิทธิของผู้พิการ ให้เห็นประโยชน์จากการเข้ารับการบำบัดรักษา นอกเหนือจากสิทธิอื่นๆ
สรุป Occupational behavior
พฤติกรรมการแสดงความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน การดัดแปรสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมดำเนินชีวิต
1.สร้างเครือข่ายกับบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขในชุมชน เช่น อสม.
2.ส่งเสริมให้ความรู้แก่คนในชุมชนดูแลตนเองได้
- สิทธิในการรับบริการด้านสุขภาพ
- ให้ความรู้บทบาทของนักกิจกรรมบำบัด
- ให้ความรู้ด้านกฎหมาย เช่น พรบ.
3. ส่งเสริมทัศนคติด้านความเสมอภาคในชุมชน
4 ส่งเสริมเจตจำนงค์ตามกรอบอ้างอิง MOHO
5. ส่งเสริม well being และคุณภาพชีวิต
ขอบคุณครับนักศึกษากิจกรรมบำบัดรุ่นที่หนึ่ง ม.มหิดล และ ดร. ขจิต ดร.ภิญโญ คุณอาร์ม และคุณไพบูลย์
ขอบคุณครับคุณทองนาค