หนังสือ"ขุดทองบนดินพลิกวิกฤติด้วยเกษตร" ของนายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ เป็นหนังสือที่เก็บอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของผมมานานแล้วแต่ยังไม่มีเวลาที่จะอ่านจริงๆจังๆซักที เมื่อวานช่วงบ่ายๆว่างก็เลยหยิบขึ้นมาอ่าน....หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งให้แง่คิดในการพัฒนาการเกษตรและการเอาตัวรอดจากวิกฤติของโลก มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นายแพทย์เปรมศักดิ์เขียนไว้ว่า...
"ราคาสินค้าเกษตรที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากกระทบในทางลบต่อประเทศที่ต้องนำเข้าสินค้าเกษตรหรือประเทศผู้ผลิตอาหารที่อาจจะผลิตไม่เพียงพอต่อการบริโภคแล้วยังทำให้เกิดปัญหาความไม่มั่นคงด้วย
สาเหตุที่ราคาสินค้าเกษตรแพงขึ้นเนื่องจากปัญหาปริมาณผลผลิตหรืออุปทานน้อยลง เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือสภาพดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะประเด็นโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบระยะยาว แต่ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์นี้ก็มีผลกระทบในทางบวกคือเป็นผลดีมากกว่าผลลบ ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
1.ทำให้คนไทยโดยเฉพาะคนเมืองได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาคการเกษตรและเกษตรกรมากขึ้น เพราะในที่สุดแล้วต้องฝากชีวิตไว้กับเกษตรกร
2.เมื่อเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นก็มีโอกาสใช้หนี้คืน ปลดหนี้ปลดสินไถ่ถอนที่ดิน อาจทำให้หนี้สินลดหรือหมดไป และมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น
3.เมื่อราคาสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น จะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรพัฒนาการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นสินค้าเกษตรในอดีตมีราคาค่อนข้างต่ำ จึงไม่จูงใจให้เกษตรกรพัฒนาประสิทธิภาพ ผลผลิตต่อไร่ของประเทศจึงค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น และแม้เราจะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ในพื้นที่เพาะปลูกที่มีอยู่เท่าเดิมหรือลดลง แต่ผลผลิตโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ "ข้าว" ที่เราสามารถผลิตได้ถึงเท่าตัว
4.เมื่อราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นโดยกลไกตลาด ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดและราคา ในอดีตเรามีโครงการรับจำนำและประกันราคาสินค้าเกษตรหลายชนิด แต่ก็พบว่ามีปัญหาและต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการแก้ปัญหา ดังนั้น หากประหยัดงบประมาณส่วนนี้อย่างน้อยก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
5.สถานการณ์นี้จะพลิกเป็นโอกาสสำคัญในการในการทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมากขึ้น รวมทั้งประเทศอื่นๆต้องพึ่งพิงประเทศไทยมากขึ้นในฐานะที่จะต้องซื้อสินค้าเกษตรจากประเทศไทย"
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นจะเกิดขึ้นได้ นายแพทย์เปรมศักดิ์เขียนไว้ว่าจะต้องอาศัย
1.การพัฒนาภาคการเกษตรแบบครบวงจร
2.การพัฒนาการผลิตสินค้าและส่งเสริมการผลิตนั้นจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทางกายภาพ
3. การพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรต้องมีความหลากหลาย ซึ่งแต่ละแบบจะมีความเหมาะสมในด้านต่างๆแตกต่างกันออกไป
4.การพัฒนาระบบชลประทานเพราะน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการผลิตสินค้าเกษตร
5.ส่วนต่างหรือช่องว่างราคาจากเกษตรกรถึงมือผู้บริโภคโดยสนับสนุนให้เกษตรกรทำการค้าขายกับผู้บริโภคโดยตรง
6.ต้องเพิ่มงานวิจัยและพัฒนาด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
ผมเห็นด้วยกับนายแพทย์เปรมศักดิ์ครับ "รัฐ" ต้องอาศัยการวางยุทธศาสตร์และการวางแผนการพัฒนาการเกษตรที่เป็นระบบ..เรามาช่วยกันพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกันนะครับ
ไม่มีความเห็น