สาเหตุที่ครูหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยถึงต้องทำวิจัยเพื่อที่จะหาความรู้มาใช้ในการสอนก็คือ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอกระบบการศึกษาบ้านเราสอนกันแต่ "ทฤษฎี"
ในปัจจุบันยอมรับกันว่า "ทฤษฎีไม่เพียงพอต่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย
ดังนั้นจึงมีการแก้ไขโดยการทุ่มงบประมาณให้อาจารย์มีโอกาส "ทดลองการปฏิบัติ
การวิจัยเป็นเพียงการ "ทดลอง" ซึ่งปัจจัยคงที่และปัจจัยผันแปรอยู่ภายใต้การกำหนดและควบตัวนักวิจัย "ความเสี่ยงน้อยผลตอบแทนต่ำ
การวิจัยแตกต่างจากการทำงานจริง แตกต่างจากชีวิตจริง ซึ่งความเสี่ยงสูงผลตอบแทนก็สูงด้วย (High risk High return)
ในทางกลับกัน หากเด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษาคนใด กล้าที่จะยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองไปขวนขวายหาความรู้ในช่วงระหว่างที่เรียน สะสม อบรม บ่มเพาะ "ไวรัสทางความรู้จากการปฏิบัติ" เมื่อเรียนจบออกมาเป็นครูจะเป็นครูที่มีคุณภาพ เป็นครูดี ครูเพื่อศิษย์
เด็ก ๆ ความรับผิดชอบไม่เยอะมาก กล้าเสี่ยง กล้าล้ม กล้าลุก
แต่จะให้อาจารย์ซึ่งโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วไปเสี่ยงล้มลุกคลุกคลานมากก็ไม่ได้ เพราะเขามีครอบครัว มีลูก มีสามี มีภรรยาที่จะต้องรับผิดชอบ
ดังนั้นการแสวงหาความรู้ก็เป็นได้เพียงแค่การทดลองในชื่อของ "การวิจัย"
การวิจัย ไม่เสี่ยงเท่ากับการทำงานจริง เพราะไม่ต้องเอาชีวิตไปลงทุน ทำผิดไม่ถึงตาย ทำพลาดไม่ถึงกับ "ล้มละอาย"
ดังนั้นแรงผลักดันในการทำวิจัย กับแรงผลักดันกับการดำเนินชีวิตที่ใช้ปากกัดและตีนถีบจึงแตกต่างกัน
การวิจัยผิดพลาดได้ มีทางให้ถอย แต่การปฏิบัติด้วยชีวิตผิดพลาดหมายถึง "ตาย"
ดังนั้นกลไกของจิตที่มีช่องทางให้เลือกว่า "นี่คือการวิจัย เป็นแค่การทดลอง" จิตของเราจะมีความประมาทอยู่ในทุกอย่างก้าว
แต่ถ้าหากเป็นการปฏิบัติจริง ชีวิตจริง ทุกย่างก้าวจะละเอียดและรอบคอบ
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาโดยให้อาจารย์ทำวิจัย จึงเป็นแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะถ้าหากเรายังให้เด็กเรียนแต่ทฤษฎี สุดท้ายก็ต้องเสียเงินให้เด็กคนนั้นที่วันหนึ่งที่จะต้องมาเป็นอาจารย์ต้องทำ "วิจัย"
การไปศึกษาต่างประเทศ มีโอกาสให้ทำงานเยอะมาก
เด็กที่เรียนจบต่างประเทศต้อง "ปากกัด ตีนถีบ" (ถ้าพ่อแม่ไม่ส่งเงินไปให้เยอะ) การเรียนในประเทศไม่ลำบากขนาดนั้น อย่างน้อยอยู่เมืองไทยก็มีรถเก่งขับ ชีวิตไม่ต้องอดหลับอดนอนไปเป็น "เด็กล้างชาม"
ดังนั้นจากประสบการณ์ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า (ซึ่งอาจจะผิด) ควรจะให้เด็กไทยตั้งแต่อายุ 7 ปีขึ้นไป กล้าเสี่ยงต่อการใช้ชีวิต
ครูต้องเป็นพี่เลี้ยงเพื่อนำทางในการปฏิบัติให้กับลูกศิษย์
จะต้องเริ่มตั้งแต่ระดับประถม มิใช่รอมาถึงระดับอุดมศึกษาแล้วถึงเริ่มปฏิบัติการ "ธุรกิจจำลอง" ซึ่งเป็นการ "จำลองชีวิต"
ครูจะต้องเริ่มชี้ทางให้เด็กล้าท้าทายชีวิต ต้องบอกให้เด็กกล้าเผชิญโชคชะตา เพื่อสองมือและสองขาที่แข็งแกร่ง
เด็กบางคนมาพบความจริงของชีวิตว่าก้าวผิดพลาดจนกระทั่งมาถึงการเรียนระดับมหาวิทยาลัย
ทำไมถึงผิดพลาด เพราะเขาได้แต่คิด คิดจากทฤษฎี มิใช่เกิดปัญญาจากการ "ปฏิบัติ"
เขาคิดว่าสิ่งที่ครูบอก สิ่งที่สื่อชี้นำ สิ่งที่ผู้ใหญ่ชี้นำพร่ำสอนนั้นดี ก็เห็นดีตามไปด้วย
อย่างช้าที่สุด ถ้าหากเราจะให้เด็กเริ่มปฏิบัติ คือในระดับมัธยมปลาย เพราะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลือกคณะที่จะกำหนดอนาคตของ "ชีวิต"
คณะ สาขา ภาควิชา ในระดับอุดมศึกษาของเด็กเป็นตัวกำหนดอาชีพ ซึ่งเขาจะต้องวนเวียนอยู่และต้องเจอกับผู้คนในสาขาวิชาชีพนั้นไปตลอดชีวิต
เด็กควรจะมีปัญญาในการเลือกมากกว่าทฤษฎีทางการศึกษา หรือพึ่งพาแค่ลมปากบอกว่าคณะนั้นดีสาขานี้ "เลิศ"
การปฏิบัตินอกจากจะสร้างความรู้ให้กับเด็กดีกว่าการวิจัยของอาจารย์ครั้นเมื่อเรียนจบแล้ว ยังสามารถกำหนดอนาคตของอาจารย์คนนั้นได้อีกด้วยว่าสมควรจะมาเป็น "อาจารย์" หรือไม่...!
มิอย่างนั้นถ้าหากได้คนที่ไม่มีประสบการณ์ ประเทศชาติก็จะต้องเสียงบประมาณให้อาจารย์ไปวิจัยตลอดกาล...
คนที่คิดจะมาเป็นอาจารย์ จึงจำเป็นต้องเตรียมตนเองให้มากกว่าผู้อื่น ต้องขวนขวายหาความรู้จากการปฏิบัติตั้งแต่เมื่อยังเป็นนักเรียนในระดับประถม มัธยม จนกระทั่งอุดมศึกษา
กล้าเสี่ยงต่อการดำเนินชีวิต กล้าเสี่ยงต่อการปฏิบัติในสายงานที่ตนเองคิดว่าจะมาเป็นอาจารย์ในภาคหรือคณะวิชานั้น
ต้องขวนขวาย หาความรู้ นำชีวิตตนเองไปคลุกฝุ่น มะรุมมะตุ้มกับความผิดพลาด เพราะให้ได้มาซึ่งประสบการณ์แท้จริง ๆ ความรู้จริง ๆ ในการที่จะมาสอนลูกศิษย์ในอนาคต
การสอนทุกคาบ ทุกชั่วโมงต้องมีค่า เราจะทิ้งชั่วโมงนี้ แล้วบอกว่ากำลังทำวิจัยเพื่อหาความรู้อยู่ไม่ได้
เด็กที่สอนคาบนี้มีความหมาย นิสิตที่นั่งฟังเราอยู่ทุกคาบเรียนมีความหมาย ดังนั้นอาจารย์จะต้องพร้อมก่อนที่จะก้าวขาเข้าห้องเรียน
ทำทุกชั่วโมงเรียนให้มีคุณค่าโดยพึ่งพาความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาตลอดทั้ง "ชีวิต..."
ให้ความสำคัญกับเด็กทุกคน เพราะเขาก็เป็นคนเหมือน ๆ กัน
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
27 มิถุนายน 2554
ไม่มีความเห็น