สุนทรภู่
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก pantip.com โพสต์โดย คุณนายรถซุง
ถ้าเอ่ยชื่อ
"สุนทรภู่"
เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก
โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี"
จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
ด้านงานวรรณกรรม หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ
“เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
"วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่"
ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง
เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ
"วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...
ชีวประวัติ
"สุนทรภู่"
สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1
ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26
มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง
(บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา
ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง
เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน
บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง
อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง
ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล
พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น
สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา
และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง
ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย
"สุนทรภู่"
ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม)
ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน
ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน
ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม
เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น
ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย
ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี
ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน
ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล
จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง
แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349
จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล
หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง
จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด”
ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่
ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ
จนภายหลังก็เลิกรากันไป
หลังจากนั้น
สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง
และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก
ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท”
พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท”
ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย
จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์
และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด
เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง
"รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย
จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย
จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"
ต่อมาในราว
พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่
แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง
"สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย
ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ
สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ
เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้
ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม
มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ
"สุนทรภู่"
รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต
หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา
18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ,
วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม
ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย
งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป
โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้
ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์
ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์
สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา
สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง
แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท
และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม
รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 4
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์
ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์
เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า
(พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น
"พระสุนทรโวหาร"
ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394
และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70
ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว)
ที่เรียกชื่อกันว่า
"ห้องสุนทรภู่"
สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน
คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ"
เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล"
เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน
ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น
และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"
ผลงานของสุนทรภู่
หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก
เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…
ประเภทนิราศ
-
นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349)
- แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง
-
นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) -
แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง
และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา
-
นิราศภูเขาทอง (ประมาณ พ.ศ.
2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด
เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา
-
นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ.
2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่
และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง
-
นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ
พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่
และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ
(ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา
-
นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ,
คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3)
แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา
-
รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) -
แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด
จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป"
จากนั้นจึงลาสิกขาบท
-
นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385)
–เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาบทและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์)
ที่เมืองนครชัยศรี
-
นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388)
- แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง
นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว
เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร
ประเภทนิทาน
เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี,
เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ
ประเภทสุภาษิต
- สวัสดิรักษา-
คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2
ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์
-
สุภาษิตสอนหญิง -
เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า
สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่
-
เพลงยาวถวายโอวาท -
คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3
ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว
ประเภทบทละคร
- เรื่องอภัยณุรา
ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา
พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประเภทบทเสภา
- เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)
- เรื่องพระราชพงศาวดาร
ประเภทบทเห่กล่อม
แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ
กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี
4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร
เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องกากี
ตัวอย่างวรรคทองที่มีชื่อเสียงของสุนทรภู่
ด้วยความที่สุนทรภู่เป็นศิลปินเอกที่มีผลงานทางวรรณกรรม วรรณคดีมากมาย
ทำให้ผลงานหลาย ๆ เรื่องของ สุนทรภู่
ถูกนำไปเป็นบทเรียนให้เด็กไทยได้ศึกษา จึงทำให้มีหลาย ๆ
บทประพันธ์ที่คุ้นหู หรือ "วรรคทอง" ยกตัวอย่างเช่น
บางตอนจาก นิราศภูเขาทอง
ที่มาของวันสุนทรภู่
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO)
ซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน
ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก
ด้วยการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก
ในวาระครบรอบ 100 ปีขึ้นไป ประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์คือ
เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกให้ปรากฎแก่มวลสมาชิกทั่วโลก
และเพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
ในการนี้
รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
กระทรวงศึกษาธิการ
จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม
เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง
"สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก
โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529
ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น
เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่
ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น
ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น
"วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่
จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น
ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ "วัดเทพธิดาราม" และ
ที่จังหวัดระยอง
และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ
โดยทั่วไป
ทั้งนี้
ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย
และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน
ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ไว้ที่
ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่
และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง
กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ
ในวันสุนทรภู่
1.
มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงาน
2.
มีการแสดงผลงานประเภทนิทานฯ ของสุนทรภู่
3.
มีการประกวด แข่งขัน ประชันสักวา ตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติชีวิต
และผลงานของสุนทรภู่
มีความรู้ดีมาก