วิถีชุมชนคนเลี้ยงปลาบ้านหัวข่วง
บรรชร กล้าหาญ 1
รุ่งทิพย์ กล้าหาญ 2
ในช่วงปีที่ผ่านมีช่วงเวลาดีที่ได้เรียนรู้ชุมชนคนเลี้ยงปลาในกระชัง บ้านหัวข่วง ตำบลสองแคว อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนแห่งนี้มีอายุร้อยกว่าปี ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร เราสามารถเดินทางสู่ชุมชนด้วยรถโดยสารประจำทางสายเชียงใหม่ –จอมทอง หรือเชียงใหม่ - ดอยหล่อ
ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
เมื่อเข้าสู่บริเวณชุมชนจะพบความเขียวชอุ่มจากพืชสวนในไร่นาและความร่มรื่นจากต้นลำไยที่ทั้งปลูกในบริเวณบ้านและเป็นสวนลำไย อีกทั้งเมื่อผ่านไปตามถนนก็จะสัมผัสกับลำน้ำแม่ปิงที่ทอดยาวไปตามชุมชน และลำน้ำแม่ปิงแห่งนี้คือสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในชุมชน ทั้งเพื่อการเกษตรและการกสิกรรมคือการเลี้ยงปลาในกระชัง
จุดเริ่มต้นการผันเปลี่ยน
แต่เดิมชาวบ้านหัวข่วงมีอาชีพปลูกข้าวปลูกพืชผักหมุนเวียนตามฤดูกาล และการปลูกลำไย ต่อมามีตัวแทนบริษัทมาชักชวนให้ชาวบ้านเลี้ยงปลาทับทิมในกระชัง โดยสาธิตและให้เหตุผลว่าชาวบ้านสามารถสร้างอาชีพรายได้โดยไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานนอกชุมชนและไม่ต้องมีพื้นที่ทำกิน เพียงแต่มีการแบ่งสรรการใช้พื้นที่แหล่งน้ำเพื่อการเพาะเลี้ยงอย่างเหมาะสม และชาวบ้านลงทุนสร้างกระชัง ส่วนพันธุ์ปลา อาหารปลาและยารักษาโรคบริษัทจะสนับสนุนโดยการให้สินเชื่อสำหรับผู้เลี้ยงปลาในเครือข่าย และเมื่อปลาเจริญเติบโตเต็มที่บริษัทก็จะรับซื้อตามราคากำหนด ข้อมูลที่รับทราบทำให้ชาวบ้านเกิดความสนใจ จึงมีการประชุมหารือเพื่อการรวมกลุ่มและจัดแบ่งพื้นที่แหล่งน้ำสำหรับการเลี้ยงปลาจนเกิดเป็นอาชีพเลี้ยงปลาในกระชัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 โดยระยะแรกมีจำนวนเพียง 4 - 5
รายต่อมาได้เพิ่มจำนวนโดยลำดับ จนปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังจำนวน 65 ราย จำนวนกระชัง 1,500 กระชัง
มูลเหตุจูงใจในการเลี้ยงปลาคือ รายได้ที่ดี มีอิสระ มีทำเล เห็นแบบอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรที่เลี้ยงปลาเดิมและถูกชักชวนจากกลุ่มเครือญาติเพื่อน
จากวิถีชาวนาสู่คนเลี้ยงปลา
การเปลี่ยนจากอาชีพคนทำงานบนดินสู่คนที่ทำมาหากินในแหล่งน้ำ
ทำให้คนหัวข่วงต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับแหล่งน้ำ นับจากทักษะพายเรือ การว่ายน้ำซึ่งปกติคนภาคเหนือส่วนใหญ่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่คนที่นี่เกือบทั้งหมดสามารถว่ายน้ำได้ การฝึกสังเกตสายน้ำเกี่ยวกับการไหลของน้ำ สีของน้ำ ทิศทางลม และการไหลของผักตบชะวา เพื่อประมาณการได้ว่า จะเกิดพายุ น้ำท่วมน้ำไหลหลากหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเคลื่อนย้ายกระชังไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งเหล่านี้จึงก่อเกิดเป็นภูมิปัญญาของชุมชนที่เกิดจากภูมิสังคมชุมชนคนเลี้ยงปลา
นอกจากนี้ ความรู้สมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปลาก็พยายามสรรหาเรียนรู้ด้วยตนเองทั้งจากการอ่านจากตำรา การฟังวิทยุ การดูโทรทัศน์ หรือ การเข้าฝึกอบรมระยะสั้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจัดเป็นระยะตามเงื่อนไขสถานการณ์ การศึกษาจากสื่อวิทยุโทรทัศน์ การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลทั้งภายในและภายนอกชุมชน เช่น กลุ่มตัวแทนบริษัทคู่สัญญาการเลี้ยงปลาในกระชังที่มักจะนำข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเทคนิควิธีการเลี้ยงปลามาเผยแพร่ และในวิถีชุมชนที่มีการพูดคุยสื่อสารระหว่างกันอยู่เสมอในโอกาสต่าง ๆ เช่น งานบุญ การทำงานร่วมกันภาคเกษตร
และการพูดคุยระหว่างการดูแลปลาในกระชัง ฯลฯ ปัจจุบันความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาได้มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นของคนในครัวเรือนเพื่อให้มีบทบาทร่วมในการเลี้ยงปลา ที่พบว่ามีการช่วยเหลือแบ่งงานการดูแลปลาในกระชังตามเพศและวัย
มีการขัดเกลาสอนงาน สร้างศรัทธาในอาชีพ และการปรึกษาหารือเพื่อการทำงานร่วมกัน
การต่อสู้ของคนเลี้ยงปลากับวิถีกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง
นับเป็นเวลากว่าสิบปีที่คนเลี้ยงปลาบ้านหัวข่วงได้ผ่านการปะทะสังสรรค์จากสังคมภายนอกระบบทุนนิยม และการปรับเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จและข้อจำกัดการเลี้ยงปลาในกระชัง ที่พบว่า รายได้จากการเลี้ยงปลาอยู่ภายใต้ปัจจัยเงื่อนไขนานัปการ หลายสิ่งเป็นสิ่งที่ยากแก่การควบคุม อาทิปัญหาภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากปัญหามลพิษต่างๆ เช่น มลพิษทางอากาศเกิดหมอกควันทำให้ส่งผลต่อปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง หรือปัญหาสารเคมีในแหล่งน้ำทำให้ปลาป่วยและตาย หรือการหมักหมมของเศษอาหารเลี้ยงปลา ทำให้เกิดการสะสมเชื้อโรค ทั้งยังประสบภัยน้ำหลาก ทำให้ปลาหนีออกจากระชัง ปัญหาวัชพืชทางน้ำ ได้แก่ ผักตบชวา ซึ่งแม้ว่า ผักตบชวาจะเป็นดัชนีชี้วัดระดับกระแสน้ำ เป็นแหล่งหลบภัยของปลา แต่การมีผักตบชวามากเกินไปก็ส่งผลให้เกิดปัญหาปริมาณออกซิเจนในแหล่งน้ำ และปัญหาโรคปลาที่เป็นปัญหาหลักทำให้เกษตรกรต้องประสบภาวะเสี่ยงและขาดทุน ที่ผ่านมาเกษตรกรได้พยายามแสวงหาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่ประสบคือการรวมกลุ่มเพื่อขอรับการช่วยเหลือสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เป็นครั้งคราวตามแต่สถานการณ์ เช่น
การร้องขอให้มีการตรวจสภาพน้ำ การขอชดเชยเมื่อเกิดการป่วยตายหรือสูญหายของปลาจำนวนมาก อันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ และการพยายามช่วยเหลือตนเองโดยการค้นหาศึกษาความรู้จากแหล่งต่างๆ การแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์
ระหว่างกันในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทั้งภายในและภายนอกชุมชน ดังเช่น การรวมกลุ่มผู้ที่เลี้ยงปลาในกระชังเขตพื้นที่ลำน้ำขานเพื่อกำหนดแนวทางรักษาสิ่งแวดล้อมทางน้ำร่วมกันแต่สิ่งที่สำคัญยิ่งคือการต่อรองกับวิถีทุนใหญ่ การที่คนเลี้ยงปลาต้องพึ่งพิงระบบการเกษตรแบบพันธะสัญญากับบริษัทผู้ส่งเสริมการเลี้ยงปลา
ซึ่งเป็นผู้กำหนดราคาปลา พันธุ์ปลา อาหาร และยารักษาโรค ประกอบกับปัจจุบันมีการส่งเสริมการเลี้ยงปลาในพื้นที่ต่างจังหวัดหลายแห่งซึ่งหมายถึงปริมาณผลผลิตปลาที่เพิ่มขึ้นในตลาด ทำให้ราคาปลาไม่สูงในขณะที่ราคาอาหาร พันธุ์ปลาและยารักษาโรคแพงขึ้น หากช่วงไหนที่ธรรมชาติไม่เมตตาน้ำเน่าเสีย อากาศไม่ดี คนเลี้ยงปลาก็เผชิญฝันร้ายขาดทุนและเป็นหนี้
กลุ่มคนเลี้ยงปลาพยายามหาทางออกโดยการเปลี่ยนบริษัทคู่สัญญา แต่ก็เผชิญความเสี่ยงเช่นกันบางครั้งยังเพิ่มระดับความเสี่ยงเนื่องจากบริษัทขนาดเล็ก
อาจจะมีความล่าช้าเรื่องการเงินบางคนจึงเลือกใช้วิธีซื้อพันธุ์ปลา อาหารและยาจากบริษัท แต่นำปลาไปขายตรงแก่ผู้ซื้อในตลาดท้องถิ่น แต่กระนั้นยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับกำลังซื้อในท้องถิ่น อย่างไรก็ตามยังโชคดีของคนเลี้ยงปลาที่รับรู้เรียนรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สอนให้อยู่อย่างพอเพียง พอประมาณมีเหตุผล ทำให้หวนคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา การคาดหวังกำไร ความร่ำรวย ทำให้โหมลงทุนเลี้ยงปลา ท่ามกลางความไม่สามารถควบคุมปัจจัยเกี่ยวข้องต่างๆ จนเกิดปัญหาหนี้สิน จึงเริ่มพึ่งตนเองโดยการเลี้ยงปลาแบบพอประมาณไม่กู้เงินลงทุน ลดปริมาณการเลี้ยงแต่เพิ่มความใส่ใจหาความรู้เพื่อพัฒนาการเลี้ยงปลาให้มีคุณภาพ ตั้งแต่การสร้างอาหาร การปล่อยลูกปลา การป้องกันปลาป่วยการรักษาแหล่งน้ำ และความพยายามรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง
วิถีความเชื่อพลังทางใจคนเลี้ยงปลา
ในท้องถิ่นภาคเหนือเชื่อว่า ทุกแห่งทุกที่มีจิตวิญญาณที่เป็นเจ้าของ ดังนั้นการประกอบการใด ๆต้องแสดงความเคารพต่อสถานที่ เช่น การปลูกบ้านต้องเซ่นไหว้เจ้าที่ การทำนาต้องมีพิธีกรรมแฮกนา การทำสวนลำไยต้องไหว้เจ้าที่และเมื่อต้องเลี้ยงปลาในแหล่งน้ำก็ต้องมีการไหว้บูชาเจ้าที่เพื่อขอความคุ้มครองผลผลิตให้มีความอุดมสมบูรณ์ไม่เสียหายจากเหตุภัยต่างๆ ภายหลังเมื่อจับปลาขายได้ผลผลิตดีก็จะมีการเซ่นไหว้ ที่น่าสนใจนอกจากการเซ่นไหว้เจ้าที่ยังมีการไหว้บูชาพญานาค เพราะเชื่อว่า พญานาครักษาแหล่งน้ำ คุ้มครองสัตว์น้ำที่เป็นบริวาร
จึงมีการนำรูปปั้นพญานาคจัดวางในบริเวณมุมกระชังด้านใดด้านหนึ่ง
นอกจากนี้การจะปล่อยพันธุ์ปลาลงกระชัง ก็จะมีการหาฤกษ์วันดีวันเสีย ตามคติของคนล้านา ด้วยเชื่อว่า หากทำการปล่อยปลาในวันมงคลปลาก็จะเติบโตได้ผลผลิตที่ดีและด้วยรากฐานความเป็นสังคมพุทธศาสนา คนเลี้ยงปลาเชื่อว่า การเลี้ยงปลาขายเพื่อเป็นอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ให้เกิดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นภายหลังการจับปลาขายแต่ละครั้งจึงนิยมการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ปลา เพื่อตัดทอนเวรกรรมระหว่างกันและเสริมสร้างสิริมงคลแก่คนเลี้ยงปลาวิถีการเลี้ยงปลาของคนหัวข่วง จึงมีลักษณะสอดประสานระหว่างความเชื่อพุทธ พราหมณ์และผี
ที่อยู่วนเวียนเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ ผีและขวัญ นั้นเอง
ภูมิปัญญาในภูมิสังคมคนเลี้ยงปลา
กาลเวลาที่ผันผ่านบทเรียนที่ประสบได้สะสมประสบการณ์การเลี้ยงปลาจนเกิดเป็นภูมิปัญญาในภูมิสังคมคนเลี้ยงปลาบ้านหัวข่วง ดังนี้
1.ภูมิปัญญาด้านการเลือกสรรปัจจัยการผลิตประกอบด้วย การเลือกทำเลในการเพาะเลี้ยง การจัดการแหล่งน้ำในการเพาะเลี้ยง การศึกษาสภาพภูมิอากาศ
การจัดหาเครื่องมือ เตรียมกระชัง
2.ภูมิปัญญาด้านการผลิตและการจัดการผลผลิตประกอบด้วย การคัดเลือกพันธุ์ปลา การดูแลให้อาหารและป้องกันโรค การป้องกันศัตรู การจับปลาและ การจัดการผลผลิต
3.ภูมิปัญญาด้านระบบสังคมและความเชื่อ ประกอบด้วย ระบบเครือญาติ
มีการพึ่งพาเกื้อกูล การแบ่งสรรพื้นที่ลำน้ำร่วมดูแลกระชัง การแบ่งปันความรู้การเลี้ยงปลา ข้อมูลการตลาด การรวมกลุ่มเพื่อต่อรองบริษัทคู่สัญญาและแลกเปลี่ยนแรงงาน ความเชื่อพิธีกรรมต่อรองอำนาจธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ โดยการเซ่นสรวงบนบาน ถือฤกษ์ยามและการทำบุญ
4.ภูมิปัญญาการป้องกันทรัพย์สินเนื่องจากภัยธรรมชาติ ประกอบด้วย การสังเกตธรรมชาติ เช่น การไหลของน้ำ การพัดของลม สีของน้ำ ทิศทางฟ้าแลบฟ้าร้อง และการเคลื่อนที่ของผักตบชวา
ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้ เป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนารูปแบบการเลี้ยงปลาในกระชังและเชื่อมโยงสู่การปรับใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความสามารถในการพึ่งตนเอง และสร้างความมั่นคงต่องานอาชีพ นำสู่ความเข้มแข็งของชุมชน จนปัจจุบันกิจกรรมของกลุ่มคนเลี้ยงปลาในกระชังบ้านหัวข่วง ได้พัฒนาสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับชุมชนอื่นๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และก้าวย่างสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมข้อมูลที่รับทราบทำให้ชาวบ้านเกิดความสนใจ จึงมีการประชุมหารือเพื่อการรวมกลุ่มและจัดแบ่งพื้นที่แหล่งน้ำสำหรับการเลี้ยงปลาจนเกิดเป็นอาชีพเลี้ยงปลาในกระชัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 โดยระยะแรกมีจำนวนเพียง 4 - 5 รายต่อมาได้เพิ่มจำนวนโดยลำดับ จนปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังจำนวน 65 ราย จำนวนกระชัง 1,500 กระชัง
มูลเหตุจูงใจในการเลี้ยงปลาคือ รายได้ที่ดี มีอิสระ มีทำเล เห็นแบบอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรที่เลี้ยงปลาเดิมและถูกชักชวนจากกลุ่มเครือญาติเพื่อน
คนเลี้ยงปลากระชังบ้านหัวข่วงเริ่มแรก ที่จำได้ จะมี นายยงค์ วารินต๊ะ นายอาดุลย์ วงศ์คำมา นายบุญ