ได้อยู่รอบๆบรรยากาศของความซาบซึ้งในความรักของแม่กันในวันสองวันนี้มาแล้ว ก็รู้สึกอิ่มใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ทุกครั้งว่าเรากำลังลืมความรู้สึกของคนที่ไม่มีแม่ไปหรือเปล่า เรากำลังทำร้ายจิตใจใครบางคนอยู่หรือเปล่า ไปโรงเรียนน้องฟุง แล้วคุณครูประกาศให้เด็กๆสงบนิ่งคิดถึงแม่ ตัวเองคิดถึงลูกที่ไม่มีแม่ หรือดูเหมือนจะไม่มีแม่แล้ว ใจไม่ค่อยสบายเลย ภาวนาให้คุณครูสำรวจแล้วว่าเด็กๆทุกคนที่มาร่วมงานมีแม่ หรือถ้าไม่มี ก็มีคนชี้แจงพูดคุยกันแล้วว่า การไม่มีแม่ก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของเค้า ไม่จำเป็นต้องเสียใจ ไม่ต้องโทษอะไรที่ทำให้เขาไม่มีแม่โดยเฉพาะในเด็กๆวัยประถม ที่อาจจะเป็นรอยแผลในใจไปเพราะงานแบบนี้
ขอบอกในฐานะแม่คนหนึ่งว่า การได้สร้างคนขึ้นมาหนึ่งคน ต้องอุ้มท้องมาเป็นเวลา 8-9 เดือน เป็นประสบการณ์ที่คนที่เป็นลูกได้"ให้"กับแม่แล้ว ให้ความเต็มกับชีวิตลูกผู้หญิง ให้ความรู้สึกที่ไม่มีอะไรเหมือน สำหรับตัวเอง สิ่งที่"ได้"จากการมีลูก ถือว่าเป็นรางวัลที่ไม่มีอะไรเทียบได้เลย
เพราะฉะนั้น ถึงหากเราจะไม่มีแม่อยู่ณ.ปัจจุบัน ด้วยเหตุอันใดก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้เราแตกต่างจากคนที่มีแม่ทั้งหลายเลย การได้เป็นแม่ เป็นการตอบแทนที่ผู้เป็นลูกได้ให้แก่แม่ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนที่ลูกเกิด หากเราจะไม่ได้มีโอกาสทำอะไรหลังจากนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าเราแย่กว่าใครๆ เราทุกคนสามารถทำความดีให้กับคนที่เป็นเพศ "แม่"ได้เสมอ
บอกได้ในฐานะแม่คนหนึ่งว่า ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนจากลูก แต่หวังว่าลูกจะ สร้าง"ลูกที่ดี" ต่อๆไปในสังคมมากกว่า หากเราทำได้ก็ถือได้ว่า เราทำหน้าที่ "ลูก" ของโลกใบนี้ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเพียง "ลูกของแม่" เท่านั้น
นี่เป็นเพียงมุมมองของแม่คนหนึ่ง ซึ่งอาจไม่เหมือนใครๆ แต่รักและพร้อมจะเป็นกำลังใจให้"ลูกที่พยายามทำดี"ทุกคนค่ะ
"ภาวนาให้คุณครูสำรวจแล้วว่าเด็กๆทุกคนที่มาร่วมงานมีแม่ หรือถ้าไม่มี ก็มีคนชี้แจงพูดคุยกันแล้วว่า การไม่มีแม่ก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของเค้า ไม่จำเป็นต้องเสียใจ ไม่ต้องโทษอะไรที่ทำให้เขาไม่มีแม่"
(ในงานพิธีวันแม่ของ รร.)หลานชายตัวน้อย...เดินมาขอร้องแม่ตัวเองว่า...ช่วยเป็นแม่ให้น้องโบ๊ตด้วยได้ไหม...กะปุ๋มยืนอยู่ข้างๆจึงหันไปมองเห็นน้องโบ๊ต...ยืนหน้าเศร้า...จึงถามไปว่าคุณแม่ไปไหน..น้องโบ๊ตตอบไม่ทราบ...เพราะแม่ไม่อยู่นานแล้ว...(อึ้ง...)...พี่สาวจึงรับอาสา....เป็นแม่ให้โบ๊ต....ทำเสมือนเป็นลูกตัวเอง...ไม่เพียงแค่ร่วมพิธี...แต่เราร่วมกอดโบ๊ตด้วยความรัก...
เห็นด้วยกับคุณโอ๋ค่ะ เพราะตัวเองก็อยู่ในสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน และไม่เคยรู้สึกเป็นปมด้อยเลย กลับทำให้เรารู้สึกภูมิใจมากกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ที่เราสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะด้านการงาน การเรียน และครอบครัว ถึงแม้จะไม่มีสองมือแม่คอยอุ้มชูเหมือนคนอื่น ๆ
เคยสงสัยเหมือนกันค่ะ ว่าทุกครั้งที่ถึง "วันแม่" บุคคลที่ "ไม่ได้ใกล้ชิดคุณแม่" จะรู้สึกแย่มากหรือเปล่า
พอถามตัวเองอีกที ก็พอจะได้ข้อคิดว่า ถึงแม้บุคคลท่านเหล่านั้นอาจไม่ได้มีโอกาสมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อความรักอันยิ่งใหญ่ของบุพการี
แต่ไม่มีใครปฏิเสธแน่นอนหากจะสรุปว่า "ความรักแท้ของผู้เป็นแม่" ซึ่งเป็นสิ่งพิเศษสุดของโลกนี้มีอยู่จริง เป็นของแท้ ไม่ต้องแสดงเป็นรูปธรรมก็เข้าใจได้ ที่สำคัญวันแม่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อคุณแม่แต่ละท่าน แต่เป็นเครื่องบอกด้วยว่ามนุษยชาติของเราดำรงได้ก็ด้วยความรักแท้ของแม่ทุกคนรวมกัน
ดังนั้น หากลูกๆท่านใดที่ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึง "ความรักของแม่" ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม อยากให้กำลังใจและร่วมยืนยันให้ท่านทราบว่า "ความรักของแม่" อบอุ่น อ่อนโยนและเป็นนิรันดร์อยู่จิตวิญญาณของเราเสมอ
คิดถึงข้อความหนึ่งที่ คุณเสิด แห่ง KM Spy ของศูนย์อนามัยที่ 5 อยู่โคราช ได้เขียนไว้ในเรื่องของ ที่ศูนย์เด็กเล็กค่ะ
เขาบอกไว้ว่า เด็กบางคนไม่เคยได้รับการกอด หลายคนก็ได้รับการกอดแบบงั้นๆ คือดึงเข้ามาก็กอดเฉยๆ แต่เขาได้รับความรู้จากพี่เลี้ยงเด็กด้วยกันน่ะแหล่ะค่ะ ว่า ในบรรดาเด็กที่ร้องไห้น่ะ ถ้าเราโอบกอดเข้า และเพิ่มความรู้สึก ความรัก เข้าไปด้วย โดยให้นึกว่าเขาเป็นลูก เขาก็จะเงียบลงแล้ว ... อันนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วจากการปฏิบัติของพี่เลี้ยงเด็กค่ะ