เมื่อเดือนกันยายน 2553 ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นคือ การเดินทางมาเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาชาวจีน ณ นครคุนหมิง มณฑลยูน นาน สาธารณรัฐประชาชนจีน แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาเยือนเมืองนี้ ความตื่นเต้นและความประหม่ากลับมิได้ลดน้อยลงไป ส่วนหนึ่งอาจเพราะบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับตามคำสั่ง...แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่เท่ากับการที่ผมจะต้องมาอยู่ในคุนหมิง ตามลำพังโดยที่พูดภาษาจีนไม่ได้แม้เพียงคำเดียว
แต่เพราะ"ชีวิต คือ ชีวิต" (อารมณ์ประมาณเพลง life&learn ที่คุณป้ากมลาร้องอย่างไรก็อย่างนั้น) ผมมาไกลขนาดนี้แล้วจะให้เสียชื่อไม่ได้ "เราก็ศิษย์มีครู" จะมาประหม่าเพราะเครื่องมือทาง"ภาษา"ไม่พร้อม เห็นจะไม่ควร กว่าสองปีที่ได้สั่งสมประสบการณ์สอนเด็กต่างชาติ(ชาวจีน-ชาวเวียดนาม)ที่ลำปาง แล้วไหนจะ KM ที่เป็นผู้ร่วมถอดบทเรียนวิธีการสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติอีก คงพอจะทำให้หน้าที่ครั้งนี้ล่วงสำเร็จได้อยู่บ้างดอก...ว่าแล้วก็เตรียมการสอนเพื่อพร้อมรับมือกับนักศึกษาในวันแรกครับ (...ยินเสียงปี่พาทย์ทำเพลงเชิด-แล้วม่านนั้นก็ถูกเลื่อนลงมาปิด)
ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า"เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก"ผมไม่รู้ว่าการโกหกเทียบได้กับความเร็วหรือไม่ แต่ต้องยอมรับครับว่า เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เพราะไม่น่าเชื่อว่า เหลืออีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์ผมก็จะได้กลับบ้านแล้ว ...กว่า 2 ภาคการศึกษาที่ผมมาทำงานในฐานะครูสอนภาษาไทย(เพียงคนเดียว)ของมหาวิทยาลัยยูนนานนอร์มอล ทำให้ตอนนี้ผมมีลูกศิษย์ชาวจีนกว่า 230 คน แต่ที่ทำให้ผมต้องตระหนักในเวลาที่กำลังจะผ่านไปนั้นก็คือ "เรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ณ นครคุนหมิง" ที่นับจากนี้จะไม่มีให้ผมได้รู้ ได้เห็น ได้ทดลอง และได้ร่วมเรียนรู้...อีกแล้ว
...เสียงฮือและเสียงโห่พร้อมสีหน้าหวั่นวิตกของนักศึกษาที่ได้รู้ว่าผมพูดภาษาจีนไม่ได้ในคาบแรก ...รอยยิ้มและท่าทางเคอะเขินของนักศึกษาในชั่วโมง"รำวงมาตรฐานและประเพณีลอยกระทง" ...เสียงหัวเราะและคำร้ายๆ(ที่ผมไม่อาจเข้าใจเพราะเป็นภาษาจีน)ที่นักศึกษาใช้แซวหรือว่าเพื่อนๆในการแข่งขันตอบปัญหาและเล่นเกม ...ทำนองเพลงเพี้ยนๆและเสียงร้องผิดคีย์ตอนฝึกร้องเพลงไทย ...ทั้งหมดนี้ผมจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีกในเทอมต่อไป
แม้จะต้องเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่นึกเสียดายความคุ้นชินนี้ ด้วยเพราะเวลาที่ผ่านมาก็ให้ประสบการณ์ที่ทำผมรู้สึก"อิ่มเอม"ในหัวใจมากเพียงพอแล้ว ลูกศิษย์ของผมอาจยังใช้ภาษาไทยได้ไม่เก่งนักเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ และผมไม่รู้หรอกครับว่า ครูไทยที่เขาพูดภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษได้ดีนั้น เขาสอนภาษาไทยให้กับนศ.ชาวจีนกันอย่างไร แต่ ณ วันนี้ ทุกครั้งที่ลูกศิษย์เจอผม เขาจะยกมือไหว้และกล่าวคำสวัสดี(ครับ/ค่ะ อาจารย์)พร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า บางคนที่ภาษาไทยดีหน่อยก็จะถามสารทุกข์สุขดิบผมอีกด้วย ว่างเมื่อไหร่ก็จะชวนกันมาทำอาหารจีนเลี้ยงผมที่ห้องพัก ครั้งใดที่ผมไม่สบายเขาก็จะเป็นห่วงเป็นใย ระดมเพื่อนๆมาหอบผมไปโรงพยาบาล(อันนี้แค่เกือบนะครับ โชคดีว่าหายป่วยเสียก่อน ไม่อย่างนั้นต้องโดนหามไปแน่ๆ เพราะเขาบุกมาที่ห้องถึง 8 คน) ช่วงไหนเป็นวันหยุดยาวก็จะชักชวนผมไปเที่ยวที่บ้าน หรือไปพักต่างอากาศต่างเมืองกัน ...
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นแบบนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ และที่แน่ๆมันแทบไม่ได้อยู่ในตำราที่ผมใช้สอนพวกเขาเลย สันนิษฐานเอาเองว่า คงมาจากเรื่องราวใน"สังคมแบบไทยๆ"ที่ผมเพียรเอามาเล่าให้เขาได้รู้...เรื่องแล้วเรื่องเล่า...เพื่อเตรียมให้เขาพร้อมที่สุดก่อนที่จะมาเรียนในบ้านเรา ...ความเป็นไทยคงค่อยๆไหลผ่าน..."จากครูแล้วซึมซับสู่ลูกศิษย์"...วันนี้หลายคนจึงเป็นศิษย์"งอก"ดังที่ผมนึกฝันไว้ และแม้ว่าอีกหลายคนยังคง"งงงัน"กับทิศทางของชีวิต แต่กระนั้นผมก็ยังเชื่อในความงอกงามของมนุษย์ ...ทุกชีวิตย่อมต้อง"งอก"ไปตามทิศทางที่เขาได้เลือกได้ตัดสินใจ ...ตอนนี้เมื่อเวลาของ"ครู"อย่างผมได้หมดลงตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่ผมก็ยังหวังและยังคงรอคอยให้ถึงเวลาที่ต้นกล้าน้อยๆเหล่านี้ได้หยั่งรากลงดินอย่างแข็งแรง เพื่อจะยืนต้นระบัดใบเป็นไม้ใหญ่ให้ความชุ่มชื่นต่อแผ่นดินในเวลาข้างหน้า
พบเพื่อพราก...จากเพื่อเจอ
Kunming 11-06-19
น่าสนุกนะครับ สอนหนังสือที่ต่างประเทศ ผมก็มีเพื่อนชาวเวียดนามเหมือนกันตั้ง46คนแน่ะ (ในรุ่นมี 48คน เวียดนาม 46 ไทย 2 คน) แต่ตอนนี้เพื่อนผมกลับประเทศไปหมดแล้วครับ เพราะเขามาเรียนปริญญาโทกับผมแค่ 1 ปี
สวัสดีค่ะ
ขอชื่นชมความเป็นครูสูงมากค่ะ แม้พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็สอนให้นศ. จีนเข้าใจ พูดได้
ถอดบทเรียนเก่งจัง...อยากเขียนเก่งอย่างนี้บ้างจัง จะได้เขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกัยเด็กๆที่ดูแล
หวังว่าอาจารย์คงไม่เจอเหมือนคุณโน๊ตนะคะ
ผมคิดถึงอาจารย์มากๆ ครับ
ขอให้อาจารย์มีความสุข
สวัสดีครับ
ครูดีที่น่าคบ
การพบเป็นสัญญาณของการจาก
การพลัดพรากเป็นสัญญาณการคืนหา
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา
ไปแล้วมามาแล้วไปก็คล้ายกัน
นะครับ
โห..คุณภู่กัน มีเพื่อนชาวเวียดนามตั้ง 46 คน แบบนี้เวลาเรียนต้องได้แนวคิดใหม่ๆจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชาวเวียดนามแน่ๆเลยครับ
ขอบคุณพี่แดงมากครับผม ที่คอยแวะมาให้กำลังใจอยู่เสมอมา ผมเองอาจจะโชคดีกว่าคุณโน้ทเขาหน่อยครับ ตรงที่ไม่ค่อยได้ไปเข้าห้องส้วมในที่สาธารณะ (อันนั้นเจอมาแค่ครั้งเดียวครับผม...ไม่ได้เจองูใหญ่อะไรหรอกครับ เพียงแค่ต้องกลั้นหายใจเท่านั้นเอง ฮ่าๆ) ส่วนที่มหาวิทยาลัยซึ่งมี 2 แห่งคือ ม.ซือต้าเดิมที่อยู่ในเมือง ต้องขอชมเขาครับว่าบริหารจัดการได้ดี หรืออาจเป็นเพราะผมเข้าแต่ตึกนานาชาติก็ไม่รู้นะครับ (ตึกอื่นยังมิบังอาจ..) ในส่วนม.ซือต้าที่สร้างใหม่(เฉิงก้ง) นั้นยิ่งหายห่วงครับ ทุกตึกมีแม่บ้านทำความสะอาดกันทุกๆชั่วโมง ... มานึกๆดูแล้ว ผมว่าหากมาจีนแล้วไม่ได้เห็นบ้าง...เท่ากับว่าไม่ถึงนะครับ (ฮ่าๆ)
สวัสดีครับ คุณหมออดิเรก
ผมเองก็เพิ่งจะมีเวลาว่างมาเข้ามาเขียนบันทึกก็ในวันอาทิตย์ช่วงบ่ายๆนี้เองครับ ทั้งที่จริงแล้วอยากเขียนบันทึกนี้ให้เสร็จตั้งแต่วันศุกร์...แต่ข้อสอบที่นอนกองรออยู่ เลยต้องเร่งจัดการให้เสร็จก่อนน่ะครับ
ขอบพระคุณครูกายครับผม สำหรับคำชมและดอกไม้ ผมเองก็เป็นเพียงคนหนึ่งที่ตั้งใจทำงานเหมือนกับครูหลายๆคนใน g2k แห่งนี้นั่นแหละครับผม
เห็นท่านอ.โสภณ คราวไรก็ให้นึกละอายแก่ใจตัวเอง ด้วยเพราะสอนภาษาไทยแต่กลับแต่งกลอนได้ไม่คล่องแคล่วอย่างท่านอาจารย์ที่พอจะหยิบจับอะไรขึ้นมาก็ออกมาเป็นกลอนได้ง่ายและงามเหลือเกิน...ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับผมที่เข้ามาแล้วยังฝากกลอนไว้ให้ได้อ่านด้วย
มีหลานสาว ไปเรียนที่จีนอยู่ ณ วันนี้(เพิ่งไป มีนา 54)
คุยทาง facebook ว่าหนาวๆๆๆๆ ทุกวัน
ส่งชวนชม มาให้ชมอีก มีหลายสี หลายแบบมากค่ะ
ขอบคุณท่านอ.นงเยาว์ ครับที่เอาชวนชมมาฝาก เห็นลักษณะดอกแบบนี้แล้วก็อึ้งจริงๆครับ ไม่คิดว่าชวนชมจะพัฒนาไปได้ขนาดนี้ อย่างรูปแรกหากเป็นสีขาว จะต้องเหมือนดอกพุดแน่ๆเลยครับ กลับไปจะลองศึกษาเพิ่มครับผม
ปล. เมืองคุนหมิงที่ผมอยู่นี้ ได้ชื่อว่าเมืองพักตากอากาศ(นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ) อุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศา (ทั้งปี) ทำให้อยู่สบายไม่หนาวมากเท่าไหร่ครับ (ที่ผ่านมาหนาวสุดที่ผมเคยเจอคือ 0 องศา แต่มีแค่วันเดียวนะครับ ตอนนั้นหิมะตกด้วย..ได้เจอหิมะสักที ฮ่าๆ)
พบ พราก จาก เจอ ... เมื่อก่อนก็ทำใจไม่ค่อยได้นะคะ อาจารย์
เห็นคุนหมิงแล้ว นึกถึง เหล่าซือ สมัยไปเรียนภาษาที่ไต้หวัน ค่ะ
ชื่นชม และส่งกำลังใจคุณครูเพื่อศิษย์ ด้วยจิตคารวะ สุขสันต์นะคะ
ขอบคุณคุณ Poo มากครับผม ที่เข้ามาให้กำลังใจ ไว้มีโอกาศค่อยมากคุยกันเรื่องหนังสือต่อนะครับผม
ผมก็นึกว่าลูกศิษย์ สส ของผมจะวิ้งสุดแล้ว มาเจอลูกศิษย์ สว ของท่านอาจารย์ขจิตแล้ว ต้องยกธงยอมแพ้ครับผม (ฮ่าๆ)
ปล. มีทุนลุ่มน้ำโขงสำหรับให้อาจารย์มาสอนภาษาอังกฤษที่จีนได้ครับผม
สวัสดีครับคุณครูลำดวน
อาจเพราะผมเองอยู่ใกล้ชิดครูมาตลอดชีวิต "ความรัก ความจริงใจ ความมุ่งมั่น และความหวังดี" ที่ผมสัมผัสได้จากครูในดวงใจท่านแล้วท่านเล่าที่คอยเคี่ยว(บางทีก็มีเฆี่ยนบ้าง...ฮ่าๆ)ฝึกผมมา ทำให้ผมใช้เป็นเคล็ดลับในการสอนเด็กๆในวันนี้ครับผม
ขอบคุณพี่อรพรรณมากครับผม ที่แวะเข้ามาให้ดอกไม้...เข้าไปอ่าน"ลูกไม้ไกลต้น"แล้ว ทำให้นึกถึงตัวเองเหมือนกันนะครับ
สวัสดีค่ะ
วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมค่ะ หลังจากห่างหายไป เพราะไม่ทราบจะเขียนอะไรค่ะ และจะมาติดตามอีกนะคะ
ยินดีครับที่ครูคิมแวะเข้ามา ผมเองก็ตั้งตารออ่านบันทึกของครูคิมอยู่เช่นกันครับผม
สวัสดีค่ะ
อาจารย์ตื่นเช้าจังนะคะ พี่คิมตื่นมาสางงานให้โรงเรียนแต่เช้าเหมือนกันค่ะ แต่ไม่นอนดึก อากาศที่คุนหมิงคงสบายนะคะ ทานไข่พะโล้ เป็ด และมันเทศปิ้งเผื่อด้วยนะคะ
ต้องบอกว่า ผมตื่นช้ากว่าครูคิมครับ...แต่ที่เรามาเจอกันพอดี เพราะเวลาที่เดินต่างกันไป 1 ชม. ครับผม
ขอบคุณ..ครูหนานวัฒน์ที่ให้คำแนะนำดีดีเป็นวิทยาทาน..พีจะพยายามต่อไป
อ้อ..มีโอกาสเมื่อไหร่จะฝากลูกชายเป็นลูกศิษย์อีกคนนะ..คณะมนุษย์นะค่ะ
ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำต่อไปนะคะ......จากใจของคนไทยด้วยกัน...
ยินดีครับพี่อรพรรณ ถือว่าช่วยกันเรียนช่วยกันรู้ดีกว่าครับผม
อย่างผมเนี่ย พยายามจะไปให้ไกลต้นที่สุด แต่พอเวลานั้นมาถึงจริงๆ
รู้ตัวอีกที...ก็หล่นอยู่แถวๆใต้ต้นนั่นแหละครับ...ฮ่าๆ
- แล้วลูกศิษย์จะรู้ไหมเนี่ย ว่าครูหนานวัฒน์ก็ "คิดถึงลูกศิษย์มากๆ" เช่นกัน บันทึกนี้ยืนยันได้...