ผมได้เขียนเล่าถึงกลุ่มภารกิจวิจัยชุมชนของมหาวิทยาลัยมหิดลไว้ที่นี่
วันที่ ๒๓ พ.ค. ๕๔ ประธานคณะกรรมการกลุ่มภารกิจวิจัยชุมชนฯ คือ รศ. ดร. ดวงพร คำนูณวัฒน์ เชิญผมไปให้ความเห็นต่อแผนการดำเนินงาน ที่ได้ดำเนินการมา ๖ เดือน มีการรวบรวมความรู้ที่มีการดำเนินการไปแล้วในพื้นที่เป้าหมาย คือ อำเภอพุทธมณฑล ได้หลายร้อยชิ้น และกำลังอ่านเพื่อสกัดความรู้ออกมาจัดระบบ
และกำลังรวบรวมผู้คนที่มีโครงการในพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว เพื่อประสานการทำงานให้เกิดผลต่อชุมชนยิ่งขึ้น
เอาเข้าจริงผมได้ฟังเรื่องราวได้ความรู้มากจริงๆ เพราะจริงๆ แล้วอำเภอพุทธมณฑลมีลักษณะที่พิเศษเอามากๆ คือไม่ได้เป็นพื้นที่ชนบทอย่างเต็มที่
ในอำเภอนี้มี ๓ ตำบล คือศาลายา มหาสวัสดิ์ และ คลองโยง ตำบลศาลายามีลักษณะเป็นเมืองมากหน่อย ในขณะที่อีก ๒ ตำบลมีลักษณะเป็นชนบทมากหน่อย และเกษตรกรทำการเกษตรบนพื้นที่เช่า จากเจ้าที่ดิน
จำนวนประชากรตามทะเบียนสองหมื่นกว่าคน แต่ที่มาใช้พื้นที่นี้มากกว่านั้นมาก เพราะมีประชากรแฝงทั้งที่เป็นแรงงานต่างชาติ ทั้งพม่า และเวียดนาม และมีคนจากที่อื่นมาทำงานช่วงกลางวันหรือย้ายเข้ามาอยู่ใหม่จำนวนมาก เพราะที่อำเภอนี้มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งเข้ามาตั้งอยู่ รวมทั้งมหาวิทยาลัยมหิดล สังคมในพื้นที่จึงมีความซับซ้อนกว่าที่คิด
การเข้าไปทำงานของนักวิชาการก็ยาก เพราะชาวบ้านคุ้นกับการหยิบยื่นจากนักการเมืองและราชการด้วยนโยบายประชานิยม ไม่คุ้นกับการรวมตัวกันแก้ปัญหาหรือวางแผนพัฒนาชุมชน/พื้นที่ ด้วยตัวเอง
ผมเสนอที่ประชุมว่า นักวิชาการต้องไม่เข้าไป “ให้” หรือ “ช่วยเหลือ” ชาวบ้าน แต่เข้าไปทำงานร่วมกัน และเรียนรู้ร่วมกันกับชาวบ้าน โดยต้องหา “หัวโจก” หรือ “champion” ของชาวบ้านให้พบ ให้เขาเป็นผู้นำ ปลุกชาวบ้านให้รวมตัวกันทำสิ่งที่ชาวบ้านต้องการร่วมกัน และนักวิชาการไป facilitate หรือ empower ให้เขาทำเองได้สำเร็จ โดยชาวบ้านร่วมกันเป็นเจ้าของโครงการ และเจ้าของผลงาน ไม่ใช่นักวิชาการเป็นเจ้าของ ชาวบ้านร่วมมือ
นอกจากนั้น ผมยังเสนอว่า อย่าเอาทรัพยากรที่เป็นเงินหรือวัตถุไปให้ สิ่งเหล่านั้นต้องให้ชาวบ้านหาเอาเองจากพื้นที่หรือจากทางราชการ โดยนักวิชาการอาจช่วย facilitate “ทรัพยากร” ที่นักวิชาการเอาไปให้คือ กระบวนการเรียนรู้ ใจ และความรู้ สำหรับให้ชาวบ้านรวมตัวกันดำเนินการพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นของตนเอง
สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง คือความต่อเนื่องยั่งยืนในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ของตนเองด้วยตนเองของชาวบ้าน ไม่ใช่ทำอยู่เฉพาะช่วงที่นักวิชาการเข้าไปชวน หรือเข้าไป “ช่วยเหลือ”
ทีมงานถามว่า แล้วนักวิชาการจะมีผลงานวิชาการรับใช้สังคมไทยได้อย่างไร คำตอบของผมคือ สำหรับมหาวิทยาลัยมหิดล (ซึ่งวางตำแหน่งสู่มหาวิทยาลัยวิจัยระดับโลก) ต้องได้ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ ดังมีตัวอย่างผลงานของ รศ. ดร. ศิริพร แย้มนิล ที่เอ่ยถึงที่นี่ นอกจากนั้น อาจารย์ผู้ใหญ่ของมหิดลที่เป็นทั้งนักวิจัยพื้นฐานและนักวิจัยชุมชน ที่มีผลงานตีพิมพ์ผลงานวิจัยชุมชนในวารสารวิชาการนานาชาติคือ ศ. ดร. วีระพงศ์ ปรัชชญาสิทธิกุล
ผมให้ความเห็นว่า นักวิจัยชุมชนเกือบทั้งหมด ไม่สามารถเขียนรายงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติได้เพราะไม่อ่านวารสาร ไม่ค้นคว้าและไตร่ตรองพรมแดนของความรู้ สำหรับเอามาใช้เป็นทฤษฎีในการทำงานวิชาการด้านวิจัยชุมชน จึงเข้าไปทำงานแบบฐานวิชาการไม่แน่น ไม่ชัด ไม่กล้าท้าทายทฤษฎี หรือไม่คิดท้าทายทฤษฎี จึงไม่สามารถตั้งโจทย์วิจัยที่คมชัด อันจะนำไปสู่การออกแบบเก็บข้อมูล (ทั้ง quantitative และ qualitative) สำหรับนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตอบโจทย์วิจัยเพื่อหักล้างหรือเสริมบางส่วนของทฤษฎีที่มีอยู่ได้
ผมเสนอว่า ที่กลุ่มภารกิจวิจัยชุมชนวางแนวทางการทำงานเป็น D&R นั้นเหมาะสมแล้ว โดยต้องเป็น D (Development) ของชาวบ้าน โดยชาวบ้าน แล้วนักวิชาการเข้าไปร่วมทำงานและเก็บข้อมูลเพื่อทำ R (Research) โดยไม่ต้องเอ่ยคำว่าวิจัยเลย
ผมชี้ให้เห็นว่า วิธีการ organize งานวิจัยชุมชน แบบเป็นคณะกรรมการ ให้คนสนใจงานนี้สมัครเข้ามาเป็นกรรมการ อย่างที่ทำอยู่นั้น น่าจะไม่เกิดผลดี ผมเห็นว่าควรแยกคนสนใจทำงานวิจัยชุมชน ให้เป็นผู้ปฏิบัติ ส่วนคณะกรรมการ ควรมีน้อยคน เช่น ๙ – ๑๐ คน นำหน้าที่ชี้ทิศทาง และยุทธศาสตร์ โดยมีคณะเลขานุการกิจที่มีเจ้าหน้าที่ประจำ ที่มีทักษะในการประสานงานกับชุมชน แหล่งทุน และนักวิจัย เป็นกำลังหลัก ทักษะนี้ต้องเรียนและสั่งสม
วิจารณ์ พานิช
๒๔ พ.ค. ๕๔