เทศกาลภาพยนต์ผู้ลี้ภัย
Refugee film festival
เป็นงานที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ วันผู้ลี้ภัยโลกที่จะมาถึงวันที่ 20 มิ.ย.54 โดยทาง UNHCR ได้นำภาพยนต์มาเข้าฉายด้วยกัน 4 เรื่อง คือ Sergio,Moving to Mars,The Visitor และ The Heart of Jenin โดยเรื่องที่นำมาเปิดฉายในวันเปิดเทศกาลนี้คือเรื่อง Sergio เป็นเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ ทั้งเนื้อเรื่อง การดำเนินเรื่องและผู้แสดงก็อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วย ฉากในเนื้อเรื่องก็ตัดต่อมาจริงเนื่องจากวันที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นได้มีการบันทึกวิดีโอไว้ มีเพียงบางฉากเท่านั้นที่จำลองขึ้นมาใหม่
การดำเนินเรื่องเป็นแนวบอกเราอัตชีวประวัติของบุคคลผู้ทรงเกียรติคนหนึ่ง คือ Sergio Vieira de Mello ผ่านการบอกเล่าของคนรอบข้างเขา ทั้งคนรัก เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และคนที่พยายามช่วยชีวิตของวีระบุรุษนี้ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจ
SERGIO
ชื่อเต็มของผู้ทรงเกียรตินี้คือ Sergio Vieira de Mello (เซอร์จิโอ วีอีรา เดอมอลโล) ผู้แทนเลขาธิการพิเศษขององค์การสหประชาชาติในอิรัก เป็นคนชาติบราซิล เกิดในริโอเดจาเนโร จากบิดาที่เป็นทูต จึงมักจะเดินทางย้ายตามบิดาไปอยู่ที่ต่างๆ ทั่วยุโรป ทั้งอิตาลี ฝรั่งเศษ สวิตเซอร์แลนด์ ทำให้สามารถปรับตัวกับการอยู่ที่ต่างๆ ได้เสมอ สุดท้ายได้เรียนที่มหาวิทยาลัยชอบอนต์ เป็นกลุ่มหัวรุนแรง ต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม ชื่นชมในลัทธิมากซ์ หลังจบการศึกษาได้ถูกเรียกสัมภาษณ์งานในองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง และเลือกทำงานใน UNHCR ตั้งแต่อายุได้ 22 ปี
เซอร์จิโอเป็นคนรักการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เขาสนใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและนโยบายการเมืองของรัฐมาโดยตลอด
งานชิ้นสำคัญของเขา เช่น การเป็นผู้แทนสหประชาชาติในการเข้าเจรจากับฝ่ายเขมรแดง เพื่อให้ส่งกลับผู้ลี้ภัยอย่างปลอดภัยคำนึงสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในคราวสงครามเวียตนาม และกรณีที่ติมอร์ตะวันออกแยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราช จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในคราวแรกที่ประเทศติมอร์ตะวันออกได้รับอิสระภาพนั้นยังไม่สามารถปกครองตนเองได้ องค์การสหประชาชาติจึงได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถสร้างประเทศและคณะบริหารประเทศ โดยส่งเซอร์จิโอมาเป็นผู้สำเร็จราชการเพื่อร่วมกับคณะผู้บริหารประเทศของติมอร์ตะวันออก เซอร์จิโอได้ช่วยจัดตั้งคณะรัฐบาลบริหารประเทศ และที่ปรึกษาฝ่ายต่างๆ โดยมีทั้งคนของสหประชาชาติและชาวติมอร์ตะวันออกเข้ามามีส่วนร่วมจนในที่สุดประเทศติมอร์ตะวันออกสามารถประกาศเอกราชได้ เซอร์จิโอจึงได้พ้นจากภาระหน้าที่นี้ แต่ด้วยความสามารถของเขาทั้งการบริหาร การเจราจาและจิตใจอันดีงาม เขาถูกส่งไปดูแลพื้นที่ประเทศอิรัก เพื่อยังให้เกิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ดังกล่าว ในคราวที่เกิดสงครามกลับประเทศสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามการที่สหประชาชาติเข้าไปมีส่วนร่วมกรณีที่ประเทศติมอร์ตะวันออกแยกออกจากประเทศอินโดนีเซียนั้น บินลาเดนผู้นำมุสลิมกล่าวอ้างว่าเป็นการร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาเพื่อแยกประเทศมุสลิม ดังนั้นจึงอ้างเอาเป็นฉนวนที่โจมตีสหประชาชาติ
เซอร์จิโดเข้ารับตำแหน่งผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติในอิรัก โดยมีสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติตั้อยู่ที่กรุงแบกแดด โดยวันที่ 19 สิงหาคม 2003 สหประชาชาติ ณ กรุงแบกแดดได้มีการประชุมหารือแนวทางการช่วยเหลือคนในพื้นที่อิรัก เนื่องจากการโจมตีของกองทัพพันธมิตรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การประชุมยังไม่เสร็จสิ้นก็เกิดเหตุระเบิดขึ้น ได้ฆ่าชีวิตเจ้าหน้าที่สหประชาชาติกว่า 20 คน รวมถึงเซอร์จิโอด้วย แม้ว่าเขาจะยังไม่ทันตายทันทีจากเหตุการณ์ระเบิด แต่ด้วยตึกถล่มทับจากแรงระเบิด และการให้ความช่วยเหลือที่ลำบากทำให้ต้องติดอยู่ในซากตึกกว่า 3 ชั่วโมง ขาดอากาศหายใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีแรงตะโกนถามผู้เข้ามากู้ภัยว่าเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ปลอดภัยหรือไม่ ใครบาดเจ็บอย่างไร ให้ช่วยคนเหล่านั้นด้วย อย่าช่วยเขาคนเดียว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจของเขาที่มีอยู่ตลอดแม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ไม่มีความเห็น