ชีวิตที่รับหน้าที่คอยดูแลรับส่งลูกชาย 2 คน เตรียมอาหาร และจัดการความเรียบร้อยภายในบ้านตามแบบฉบับของแม่บ้านที่ดีในครอบครัวเล็กๆ ซึ่งสามีรับราชการ ข่าวการเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาตรีในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต ที่มีเพื่อนมาบอกกล่าวชักชวนให้ไปเรียนด้วยกัน (เมื่อประมาณปี 49-50) จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของพี่ปราณี ที่จะทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง ในการที่จะได้มีใบปริญญามาใส่กรอบแขวนประดับไว้บนฝาผนังบ้านเหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง
“ไปเรียนเถอะ .. ดีกว่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ หายใจเข้าออกทิ้งไปเฉยๆ”
ไฟเขียวจากหัวหน้าครอบครัว ที่ยังคงทิ้งร่องรอยของความรู้สึก ‘เต็มปลื้ม’ ให้ผู้เขียนสัมผัสได้จากดวงตาของพี่ปราณีขณะพูดถึงเรื่องราวในตอนนั้นให้ได้ฟัง ซึ่งก็ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ด้วยวัย 44 ปี (ขณะนั้น) ที่แม้แต่ตัวพี่ปราณีเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ผลของการตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้ชีวิตของตัวเองและครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมา
เรื่องราวชีวิตในฐานะนักศึกษาของพี่ปราณี ค่อยๆ ถูกเรียบเรียงและถ่ายทอดออกมาในการสนทนาอย่างละเอียด ไล่เรียงมาตั้งแต่ช่วง 3 อาทิตย์แรกที่พี่ปราณีรู้สึก ‘เป็นกังวล’ เพราะการเรียนในมหาวิทยาลัยชีวิตที่ ‘ใช้ชีวิตเป็นตัวตั้ง’ ซึ่งเน้นการปฏิบัติมากกว่าท่องอ่านจากในตำรา ดูค่อนข้างจะแตกต่างกับสิ่งที่คิดเอาไว้แต่แรกอย่างมากมาย ทำให้หลายครั้งพี่ปราณีรู้สึกท้อเพราะไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถทำได้ จนเริ่มปรับตัวได้และรู้สึกสนุกไปกับการเรียน หลังจากพบว่าตัวเองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความรู้ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่นั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตของเธอได้อย่างเห็นผลจริงๆ
จากคนขี้อายที่ไม่กล้าพูดกล้าแสดงออก และมักจะนั่งฟังเงียบๆ ในห้องเรียน ก็เริ่มที่จะกล้าคิด กล้าแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนๆ ในชั้นเรียนมากขึ้น หลังจากที่ต้องออกไปร้องเพลง ‘ช้าง’ หน้าชั้นเรียน ตามคำเชิญของอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งพี่ปราณีบอกว่า “ฝืนร้องไปจนจบเพลงด้วยความประหม่า” แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ทำให้พี่ปราณีเริ่มรู้สึกว่าการพูด หรือแสดงออกต่อหน้าคนหมู่มาก ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หรือเป็นสิ่งที่ตนเองไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
กับลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มจะโตเป็นหนุ่ม ซึ่งพี่ปราณีมักรู้สึกว่าความสนิทสนิทสนมที่เคยมีเริ่มทอดระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ ก็กลับมาใกล้ชิดกันเหมือนเดิม จะต่างไปก็แต่เพียงสถานะที่จากเดิมเคยเป็นคนสอนการบ้านลูก ครั้งนี้กลับกลายมาเป็นลูกๆ ช่วยกันสอนการบ้านภาษาอังกฤษ และการใช้คอมพิวเตอร์ให้กับพี่ปราณีแทน ซึ่งจากคำบอกเล่าของพี่ปราณี ทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงความอบอุ่นในบรรยากาศของการสอนการบ้าน ที่มักจะอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานของทั้งผู้เรียนและผู้สอน เพราะความที่ไม่ค่อยประสาในเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษของตัวเธอ
การทำบัญชีครัวเรือน การวางแผนชีวิต ที่แต่เดิมมองว่าเป็นเรื่องที่หยุมหยิมวุ่นวาย น่าเบื่อ แต่ทันทีที่ได้เห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในแต่ละเดือนที่ต้องเสียไป จึงได้รับรู้ถึงความสำคัญและทำให้พี่ปราณีเริ่มหันมาจัดระเบียบทางการเงินและชีวิตเสียใหม่อย่างจริงจัง ซึ่งก็ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายหลายอย่างภายในบ้านลงไปได้อย่างมาก
ทั้งๆ ที่มีที่ดินรอบๆ บ้านกว่า 100 ตารางวา บวกกับที่ในสวนอีกเกือบ 2 ไร่ แต่ถึงอย่างนั้นอาหารที่นำมาปรุงส่วนใหญ่กลับล้วนแล้วแต่ต้องไปซื้อหามาจากตลาดทั้งสิ้น จนได้มาทำโครงงาน ‘ผักอินทรีย์’ ในวิชา สปช.1 จึงทำให้พี่ปราณีได้รับรู้คุณค่าของทุนรอบๆ บ้านตนเองว่า สามารถปลูกผักเพื่อนำมารับประทานโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหาได้มากมายหลายชนิดขนาดไหน
ปัจจุบันแม้พี่ปราณีจะได้รับปริญญาในสาขาศิลปศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 2 (ซึ่งเพิ่มความรู้สึกพิเศษอีกเล็กน้อยตรงที่เป็นปริญญาที่เธอได้รับพร้อมกับลูกชายคนโต) สมความปรารถนาที่ต้องการจะมีใบปริญญาบัตรใส่กรอบแขวนประดับอยู่บนผนังบ้านของตนเอง แต่ก็ดูว่าสิ่งนั้นจะไม่ใช่สาระสำคัญอะไรอีกต่อไป มากไปกว่าความรู้ต่างๆ ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้น ถูกแปรสภาพให้กลายเป็น ‘ปัญญา’ ที่สามารถนำมาสานต่อเพื่อทักทอความสุขให้กับชีวิตและครอบครัวของพี่ปราณีได้อย่างไม่รู้จบ บนพื้นฐานของการใช้ชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ที่ดินรอบบ้านอุดมไปผักสารพัดชนิด รวมถึงโรงเห็ดที่สามารถเก็บผลผลิตได้ทุกวัน จนบ่อยครั้งที่บ้านของเธอกลายเป็นที่จ่ายตลาดของเพื่อนบ้านในละแวกนั้น ที่มาขอแบ่งปันซื้อหาไปรับประทาน เป็นสถานที่อบรมดูงานให้กับเพื่อนบ้านที่สนใจอยากจะทำได้อย่างเธอ บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ในสวน เพิ่มบ่อเลี้ยงปลาขึ้นมา 2 บ่อ แถมด้วยไม้ผลอีกสารพัดชนิด ที่พี่ปราณีคุยให้ฟังว่าบ้านเธอมีผลไม้ให้รับประทานตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาออกไปซื้อหาแต่อย่างใด กลายมาเป็นฟิตเนสส่วนตัวของสามีในวัยเกษียณ ให้ได้ออกกำลังกายไปกับกิจวัตรประจำวันในการดูแลต้นไม้ ใส่ปุ๋ย และให้อาหารปลา
“พี่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีอยู่ 3 เรื่อง อย่างแรกพี่โชคดีที่มีสามีดี อย่างที่สองคือพี่มีลูกดี ลูกพี่ไม่เกเร สุดท้ายคือโชคดีที่ตัดสินใจมาเรียนที่ ม.ชีวิต .. ชีวิตพี่มีความสุขอย่างทุกวันนี้เพราะมหาวิทยาลัยชีวิต”
คำพูดสรุปในช่วงท้ายของการสนทนากับพี่ปราณี ที่ละอองความสุขจากรอยยิ้มของผู้เล่า ถ่ายทอดแบ่งปันมาถึงผู้ฟัง จนผู้เขียนอดที่จะรู้สึกมีความสุขไปกับผู้หญิงธรรมดาอย่างพี่ปราณี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชีวิตผู้นี้ไปด้วยไม่ได้จริงๆ
“สังคมไทยไม่ได้ขาดเงิน หากแต่ขาด ‘ปัญญา’
ที่จะทำให้มองเห็น 'คุณค่า' ของสิ่งที่มีอยู่รอบตัว”
รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ
อธิการบดีสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
บทความโดย
พรายพิลาศ
ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๗
พ.ศ. ๒๕๕๔
หมายเหตุ : ปัจจุบันพี่ปราณี ยังคงพักอยู่ที่หมู่บ้านดงสันเงิน ต.บ่อแห้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งนอกบทบาทแม่บ้านที่ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่องแล้ว เธอยังมีส่วนในการลงพื้นที่บนดอยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ใน จ.ลำปาง เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยเป็นผู้ชักนำโครงการต้นกล้าอาชีพเข้าสู่หมู่บ้าน จนเกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนขนาดย่อมที่ผลิตของใช้ในครัวเรือนใช้กันเองภายในหมู่บ้าน และกำลังจะเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์ประจำวิชากระบวนทัศน์พัฒนาของศูนย์การเรียนรู้เพื่อปวงชนลำปาง ซึ่งเธอวางเป้าหมายไว้ว่าจะทำงานด้านการศึกษาระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทต่อไป
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วทำให้คิดได้ว่าไม่มีอะไรที่ยากจนเกินกว่าที่เราจะทำได้ ถ้าเรามี
ความมุ่งมั่นและมีคนรอบข้างที่คอยให้กำลังใจ ทุกอย่างย่อมสำเร็จได้นะคะ
สวัสดีทุกท่านครับ
คุณชำนาญ
- พี่ปราณีน่ารักมากครับ ด้วยความานะของพี่เขาอีกไม่นานผมเชื่อว่าพี่ปราณีคงได้เป็นมหาบัณฑิตสมในแน่นอน
- 'เมื่อเห็นคุณค่า มูลค่าก็เกิด' คงจะเป็นอย่างคำที่ รศ.ดร.เสรี พงศ์พิศ ได้กล่าวเอาล่ะครับ
คุณ krugui Chutima
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ กำลังใจจากคนใกล้ตัว และมานะ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าจริงๆ
ยิ่งกับพี่ปราณี ที่นำความรู้มาสร้างให้เกิดปัญญาได้ด้วยแล้ว ยิ่งนับว่าน่ายินดีเพิ่มขึ้นไปอีกครับ
ขอบพระคุณ คุณชำนาญ เขื่อนแก้ว คุณ krugui Chutima และคุณ อ.นุ. มากๆ นะครับ
สำหรับกำลังใจ และความเห็นดีๆ ที่กรูณานำมามอบให้ในที่นี้