ในเช้าวันนั้นเกิดความเข้าใจในเรื่องนี้ขึ้นอย่างฉับพลัน เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรเราจึงต้องทำให้เด็กเกิดความรู้ขึ้นจากการลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเด็กเอง ก็เพราะว่าปัญญามันต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงการคิดเอา นึกเอา หรือเพียงฟังและจำมา
แล้วความคิดจะมีประโยชน์ตอนไหน? ก็ตอนที่ความรู้มันเกิดขึ้นแล้ว กลับมานั่งใคร่ครวญ ทบทวน จัดลำดับมันอีกครั้งอย่างไรล่ะ
ซึ่งนั่นก็คือตอนเขียนบันทึก เพราะตอนนี้เราจะต้องลำดับเรื่องราว รวมทั้งการใคร่ครวญไปในประเด็น what why และ how เพื่อให้เกิดความกระจ่างอีกครั้งหนึ่ง
และทำไมต้องเป็นเรื่องเล่า เพราะเรื่องเล่ามีชีวิตชีวา สร้างแรงบันดาลใจ รวมทั้งเห็นบริบทของเรื่องราวได้ชัดเจนที่สุด
ในกรณีของเด็กนักเรียน ขั้นตอนนี้ก็คือขั้นตอนการบันทึกความรู้ลงในสมุด หรือการประมวลความรู้ ทั้งหมดเพื่อทำชิ้นงานสุดท้าย หรือการเขียน AAR เพื่อทบทวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อไหร่นั่นเอง
และนี่คือความรู้ที่เกิดจากการได้ลงมือทดลองปฏิบัติกับตัวเองทั้ง ๓ เรื่องของดิฉัน และท้ายที่สุด ความเข้าใจก็เกิดขึ้นผ่านการปฏิบัติ หรืออาจเรียกได้ว่านี่คือ Active Learning อย่างดีที่เกิดขึ้นในชีวิตความเป็นครูเลยทีเดียว
การเขียน ทำให้เกิดการใคร่ครวญความคิด เกิดกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ แล้วประเมินค่าออกมา ... การเขียนมีพลังและมหัศจรรย์มากครับ ;)...
เรียน คุณครูใหม่
ปัญญามันต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติ ...เชื่อในหลักการนี้จริงๆ คะ
ด้วยส่วนตัว ถ้าได้อ่านอะไร จำได้สักพักก็ลืม แต่ถ้าอะไรที่ได้ทำ รู้สึกว่าทักษะเราเิกิดเร็วมาก
หรือว่าความจำเราเหมือนปลาทองหว่า (บ่นกับตัวเอง) ???
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ คะ
งานนี้ต้องขอบคุณคุณครูแคทเจ้าของประสบการณ์ดีๆ ค่ะ :)