เรื่องเล่า...เหล่าลูกศิษย์ ครั้งนี้เกิดขึ้น(สดๆร้อนๆ)เมื่อตอนบ่ายสองโมงครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2544 จุดเกิดเหตุอยู่ที่ตึก Institute of Chinese and International Studies บริเวณชั้น 4 ห้อง 407 ของ Yunnan normal University เหตุการณ์กระทบใจดังจะได้กล่าวต่อไปเกิดขึ้นในชั่วโมงสอบของผมนี่เอง มันเริ่มต้นจากความประทับใจแต่กลับตบท้ายด้วยความ"ระทดระท้อใจ"ของอาจารย์ผู้สอนอย่างเสียมิได้ (เห้อออ)
เรื่องมีอยู่ว่า...วันนี้เป็นการสอบปลายภาควิชาภาษาไทย (3) ซึ่งผมรับผิดชอบอยู่ หลังจากที่ได้แจกข้อสอบไปแล้วประมาณ 5 นาที ผมก็เริ่มได้ยินเสียงดัง"แขว้ก"... ไม่ใช่ใครแอบฉีกข้อสอบปลายภาคหรอกครับ แต่เป็นเสียงที่เกิดจาก นวัตกรรมการลบของนักศึกษาจีนที่นี่ (เดาว่านักศึกษาที่อื่นๆก็คงทำ ฮ่าๆ)... หากใครที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์สอนนักศึกษาจีน คงจะไม่ชินตาสักเท่าไหร่ เมื่อจู่ๆนักศึกษาเอาสก็อตเทปขึ้นมาแปะที่กระดาษคำตอบเสร็จแล้วก็ใช้นิ้วกดๆลงไปที่ตัวอักษรเป้าหมาย...หลังจากนั้นมืออีกข้างที่จับสก็อตเทปอีกด้านหนึ่งก็จะกระตุกขึ้นมาด้วยความเร็ว10 ม. : วินาที (อันนี้โม้ครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้อัตราเร็วที่ว่านั่น ฮ่าๆ) ... เและผลที่ได้ก็คือ ตัวอักษรเป้าหมายจะถูกดึงออกมาโดยติดอยู่บนสก็อตเทปนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ ...ใช่แล้วครับ นี่เป็นนวัตกรรมการลบที่ผมไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน...
ย้อนกลับไปครั้งแรก(กันยายน 53)เมื่อผมได้มาสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาชาวจีน ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน "สก็อตเทปลบคำผิด" นับเป็นประดิษฐกรรมในห้องเรียนที่ทำผม"อึ้ง"และอด"ชื่นชม"วิธีช่างคิดพวกเขาอย่างเสียมิได้ ...เพราะสิ่งนี้เองอาจจะเป็นนวัตกรรมที่พลิกประวัติศาสตร์การศึกษาไทยจากเหตุการณ์การเกณฑ์นักเรียนให้เอากระดาษทรายมาขัดโต๊ะที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนของปากกาลบคำผิดก็ได้...ที่สำคัญน่าจะทำการตลาดได้ไม่ยากเพราะนอกจากจะมีหลายขนาดแล้ว ยังมีหลายสีสัน บางอันเป็นลายการ์ตูน ซึ่งผมคิดว่าสามารถเอาใจกลุ่มวัยรุ่นได้ดีทีเดียว
ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงสก็อตเทปลบคำผิดทีไร...ผมก็อดทึ่งต่อประดิษฐกรรมนี้ไม่ได้ทุกครั้งไป แต่ที่เล่าไปทั้งหมดนี้ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดใช้วิจารณญาณให้จงหนัก ต่อไปจะได้ไม่หลงไปกับความชื่นชมที่อาจฝากแฝงมาด้วย"ความหลงผิด"อันนำมาสู่ความ"ระทดระท้อใจ"ดังได้กล่าวแล้วในตอนแรก
ใช่แล้วครับ เสียง"แขว้ก"ครั้งนี้ทำให้ผมเดินเข้าไปดูว่าทำไมหนอเพิ่งสอบแท้ๆเขาจึงต้องลบต้องแก้กันแล้ว... และคำตอบก็ประจักษ์ต่อสายตาเมื่อผมเห็นสก็อตเทปลบคำผิดที่ยาวยุ่งเหยิงเป็นเพราะมีรอยการใช้ไปแล้ว...ส่วนต้นๆของเทปเต็มไปด้วยอักษรอันไร้ระเบียบที่ถูกดึงออกมาจากกระดาษ...แต่ส่วนท้ายๆ ทำไมถึงม้วนเก็บเสียเรียบร้อย...จ้องๆไปก็เจอคำตอบดังภาพที่เอามาให้ดูกันนี่ล่ะครับ ... ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วดึงให้ขาดในทันใด นักศึกษาตกใจเล็กน้อยโดยมีผมยืนยิ้มด้วยใจที่ขมขื่น...เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเหตุการณ์"โกงข้อสอบ" ที่ผมเคยพบมา แม้จะด้วยวิธีที่"ล้ำ"กว่านี้ก็ตาม(หน้าใสๆจะไปไว้ใจบ่ได้หนา..)
อาจารย์ชาวจีนที่เดินตรวจอีกแถวมองมาที่ผม คงอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยเหตุที่เขาไม่ใช้ภาษาอังกฤษและแน่นอนเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ ส่วนผมเองก็ไม่ใช้ภาษาจีน(อันที่จริงต้องบอกว่าพูดไม่ได้ครับ ฮ่าๆ) เราจึงทำได้แต่เพียงส่งยิ้มให้กันเท่านั้น... ตัวนักศึกษาเองยิ้มแบบคนสำนึกผิดมาที่ผม ...แล้วผมจะทำอย่างไรดีล่ะ
ในใจก็คิดว่าควรให้โอกาส เพราะดูจากคำตอบที่เขาเขียนก็เพิ่งทำไปแค่สองข้อ ที่สำคัญเพิ่งจะเริ่มสอบไปไม่กี่นาที ชะรอยท่านเจ้าที่คงเป็นใจให้ผมจับได้เสียก่อน คิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปดูแถวอื่นๆต่อไป... ไม่รู้ว่าผมทำผิดหรือเปล่าที่ยอมให้เขาสอบต่อ แต่เมื่อคิดแล้วเหตุทั้งหมดก็คงเกิดจากผมนี่แหละที่ไม่สามารถสอนให้เขา"ซื่อสัตย์"ต่อตัวเองได้...และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ผมนำมาแบ่งปันทุกท่านในวันนี้ครับผม
ไว้อาลัยให้กับตัวเอง...
Kunming (11/06/07)
สวัสดีค่ะ
เป็นนวัตกรรมชั้นยอดจริงๆค่ะ ครูดาหลาได้ความรู้ใหม่และจะไม่ยอมบอกให้ใครทำตามเป็นอันขาด (ให้ครูลองดูก่อน)..คริ..คริ... เพราะกลัวว่าสก๊อตเทปครูจะหาย และไปตกตามใต้โต๊ะนักเรียนในสภาพที่เหมอนกับอาจารย์หนานเกียรติเอามาให้ดู...
อ่านไปก็ยิ้มไป...เล่าได้เก่งเหมือนได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆเลย
เพิ่งเคยเห็น แปลกดีเนอะ ขอฝากซื้อน้องบัว 555 กำลังงง งง ว่ามีใครบางท่านในคณะศิลปกรรมฯจะเชิญไปบรรยาย แต่แค่ 3 ชั่วโมงเอง เกรงว่าจะปล่อยของได้น้อย 555
ขอบคุณครับ ให้ผมส่งรูปที่นักศึกษาจีนเกาะไหล่อาจารย์ไปให้คนที่บ้านไหมครับ...เผื่อมีเคลียร์ยาว 555
สวัสดีตอนสายๆ ค่ะ
แวะมาเยี่ยมบ้านก่อนทำงาน เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อค่ะ^_^
ได้อานิสงส์จากคำนำหน้าชื่อว่า "หนาน" จากผู้เขียนรางวัลสุดคะนึง"หนานเกียรติ" มาสองครั้งแล้ว (ถ้าพี่เขารู้จะว่าผมไหมนี่..ฮ่าๆ) แต่ในเมื่อหลงเข้ามาแล้ว ผมก็ยินดีต้อนรับและขอบพระคุณทุกท่านที่ได้มาแลกเปลี่ยนแสดงความเห็นกันครับผม
สวัสดียามบ่ายเช่นกันครับคุณชาดา ขอบคุณมากครับผมที่เข้ามาทักทายกันตั้งแต่เช้า
เย้ๆๆ ไปเชียงใหม่ 5 สิงหาคม อาจารย์จะตามมาช่วยใช่ไหม ดีใจๆๆๆ
ผมยังทำไรไม่เป็นเลยครับท่านอ.ขจิต หากให้ไปช่วยจริงๆ กลัวจะไปทำงานเขาล่มน่ะสิครับ...ฮ่าๆ
อึมม..... แปลกแต่จริง
ตามมาอ่านค่ะ...คุณครูทำถูกแล้วค่ะ เราต้องให้โอกาสเด็ก
ใช่แล้วครับคุณศรัณยา ถึงตอนนี้ผมก็ไม่นึกเสียใจที่ให้เขาสอบต่อครับผม
สวัสดีค่ะคุณ "หนานวัฒน์"
ขอบพระคุณสำหรับคำชมครับท่านอาจารย์ แต่ถึงอย่างนั้นก็นึกสะท้อนใจจริงๆครับ ว่าสอนเขาให้พยายามด้วยตนเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้ผมเองใช้วิธีสอบซ่อม คือคนไหนทุจริต ผมจะบอกเขาเลยว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง คราวหน้ามาสอบใหม่ ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนเด็กหลายคนก็ชินแล้วครับว่า ผมเปิดโอกาสให้สอบ(เก็บคะแนน) ไปจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ หลายคนจะพยายามด้วยตนเอง พอรู้คะแนนว่าไม่ดีก็จะมาสอบใหม่...คราวนี้คงเป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะปลายภาคสอบแค่ครั้งเดียว...ผลเลยเป็นแบบนี้ครับท่านอาจารย์
บางทีการหลงให้คุณค่าของคะแนน รางวัล เกรด คือ ทั้งหมดของ ชื่อเสียง เกียรติยศ ฐานะ ศักดิ์ศรี อะไรก็แล้วแต่ หรือเพื่อผ่านมาตรฐานตามเกณฑ์กำหนด ทำให้คนเราคิดทำ ในสิ่งที่เหนือความคาดหมายได้เสมอ ฉลาดแบบขี้โกง เอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบสังคมได้เสมอ เพราะกิเลสมันสั่ง ว่าฉันต้องทำถึงจะเอาตัวรอด ยิ่งฉลาดยิ่งโกงเก่งโดยไม่ให้ใครรู้ บางทีก็ย้อมแมว ผักชีโรยหน้าพร้อมสรรพ นี่แหละคนล่ะไม่ว่า ชนชาติไหนๆ ยิ่งจีนน่าจะให้ค่ากับการสอบผ่านสูงมากเพราะ เขามีการสอบจอหงวนมาแต่ในอดีต อิอิ ก็ว่ากันไปน้อ อ้อ มีภาพดอกเก็จถะหวามาฝากนะคะ
เด็กๆกลุ่มนี้ เขาถูกกดดันเรื่องเกรดจริงๆนั่นแหละครับ ครั้งหนึ่งผมเคยตำหนิเขาไปว่า ให้เรียนเพื่อชีวิต ไม่ใช่เรียนเพื่อคะแนน หลายคนยอมฟังและยิ้มรับอย่างเข้าใจ แต่ก็มีอีกสองสามคนที่เถียงผมอย่างทันควันว่า ไม่มีคะแนน ไม่มีชีวิต ... พูดไปพลางชักสีหน้าเครียด ส่วนผมยิ้มรับและคิดในใจ... "ถึงขั้นเถียงได้ ก็ถือว่าทักษะการฟังพัฒนาขึ้นนะเนี่ย ไหนจะรู้จักคิดเอาคำมาย้อนได้เหมาะเจาะเสียจริง" ... เด็กๆเครียด แต่ครูดีใจ ครับ ฮ่าๆ
เรื่องเครียดในชีวิตหากเราพิจารณาให้ดีดี มันก็ไม่มีอะไรนะ หากเราใจเย็นๆพิจารณาไป
ไม่นานมันก็ผ่านไปดีบ้าง ร้ายบ้าง เราไม่ซีเรียส จริงจังเกินไป แต่ก็ไม่ประมาทเกินไป
ปัญหา อุปสรรคใดใดก็คงทำอะไรเราไม่ได้
สบายใจ...ฮ่าๆๆ