ใครกันแน่ที่ทำให้ศาสนาเสื่อม..(ขาลงแล้วหรือ)


กิจกรรมหลายอย่างเพื่อต้องการจรรโลงใจ หรือดึงญาติโยมเข้ามาทำกิจกรรมภายในสำนักแต่ละแห่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย สร้างบรรยากาศให้กับสถานที่ร่มรื่นบางแห่ง กลายเป็นศูนย์กลางแห่งอบายมุข ที่แอบแฝงมากับกิจกรรม..!!

กลับมานั่งเขียนเรื่องราวเพื่อเล่าสู่กันฟังอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่หายเงียบไปนาน.. เพราะตอนนี้แปรสภาพตัวเองไปเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เพื่อปรับทัศนคติ มุมมอง เรื่องความรู้ ความชำนาญการหลายๆ อย่าง  แต่ในบล็อคนี้เป็นเรื่องของธรรมะใกล้ตัวก็เลยต้องเขียนเกี่ยวกับธรรมะ พุทธะ สังฆะ หรือฆราวาส คฤหัสถ์.. ที่ได้เจอมากับตัวบ่อยครั้งจนบางครั้ง อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องเขียนมาแบ่งปันเป็นการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

พักหลังได้ย้ายตัวเองเข้าไปปฏิบัติธรรมในป่า ไม่ได้มานั่งเขียนงานหรืออ่านข่าวสารบนโลกไซเบอร์  ในป่าไม่มีโทร.ทัศน์ (กุฏิอาตมาก็ยังไม่มี) ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ เลย เป็นเพียงแต่เพลิงพักง่าย ๆ สี่เสา และหลังคาตอกแปะ เอาผ้าบังสกุลมาติดทำเป็นม่านง่ายๆ

ออกบิณฑบาตรและฉันมื้อเดียว อยู่กับเสียงจั๊กจั่นและจิตใจของตัวเองเป็นแรมเดือน.. มีความสุขที่สุด.. นั่งนับลมหายใจกับวันเวลาที่ผ่านไป ดูจิต ดูกิเลส ดูร่างสังขารที่รอวันดับ แต่เมื่อไหร่ไม่รู้.. อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ว่อกแว่กฟุ้งซ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นอดีต หรือเรื่องคนอื่นให้ยุ่งใจ  อนาคตก็ไม่ได้คิดเผื่อ ไม่ลุ้น เพราะยังมาไม่ถึง

เรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับวงการพุทธสาวก ที่ค่อนข้างระอุในหลายทาง เกี่ยวกับทางเสื่อมเสีย หรือด่าง พร้อย มีหลายแง่หลายง่ามที่ถูกโจมตีด้วยสื่อหลายลู่ทาง แม้กระทั่งทางอินเตอร์เน็ตที่ทำเป็นคลิปออกมาเผยแผ่ คาดหวังให้ศาสนาแห่งพุทธได้เสื่อมลงเร็วกว่าพุทธทำนาย (คือประมาณ 5000 ปี) ถ้าเปรียบกับนักเศรษฐศาสตร์ที่คะเนไว้ก็เสมือนกับว่าตอนนี้เป็นกราฟแบบระฆังคว่ำ และอยู่ในช่วงขาลง!! 

  ความเผ็ดร้อนระหว่างพระกับลูกบ้านเป็นเรื่องราวหลายท้องถิ่น ในเรื่องข้อวัตร กับความพอใจของญาติโยม.. แบบแผนที่เจ้าอาวาสรุ่นก่อนๆ ได้ร่วมกันทำเป็นรูปแบบเพื่อความงดงามในกิจของสงฆ์ส่วนใหญ่ และสมณสารูปอันงดงามในไตรสิกขา ข้อวัตร กฏ ระเบียบ ข้อบังคับสำหรับพระคุณเจ้า และสามเณร ได้ริเริ่มกระทำกันมานับหลายสิบปี จากรุ่นสู่รุ่น 

ความพึงพอใจ เชื่อมั่นและศรัทธาของญาติธรรมจากรุ่นสู่รุ่นในความงดงามของสมณสารูป ที่ทำวัตร ท่องมนตร์ ลงศาลา โปรดโยมในกิจกรรมวันสำคัญ ร่วมปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนาน เป็นความภาคภูมิใจของคนในบ้าน ความสง่างามของผ้ากาสาวพัตร์ที่โบกสบัดในยามเดินบิณฑบาตร เปรียบเสมือนเภรีใหญ่ ดังก้องกังวาลในยามที่พระธรรมยาตรา...!!

ณ ปัจจุบันสังคมโลกมันเปลี่ยนไป ตามกระแสแห่งการแข่งขันทุกด้าน ทุกวงสังคม ทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ หรือศรัทธาในเรื่องต่างๆ มีการชิงดีกันอย่างเห็นได้ชัด.. ความปราณีตในพระธรรมวินัยของพระศาสนาเองก็จางคลายไป ไม่รัดกุมหรือเข้มงวดเหมือนอดีต อาจเป็นเพราะกิจกรรมของแต่ละสำนักมีมากมายจนเบียดเบียนความสงบ ความวิเวกของพุทธสถาน..

กิจกรรมหลายอย่างเพื่อต้องการจรรโลงใจ หรือดึงญาติโยมเข้ามาทำกิจกรรมภายในสำนักแต่ละแห่ง มีกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย สร้างบรรยากาศให้กับสถานที่ร่มรื่นบางแห่ง กลายเป็นศูนย์กลางแห่งอบายมุข ที่แอบแฝงมากับกิจกรรม..!!

และด้วยพิษเศรษฐกิจที่พ่นใส่ชาวบ้านทุกย่อมหญ้า จึงทำให้แต่ละคนรอบวัด ต้องมีการดิ้นรน แข่งขัน เพื่อความอยู่รอด จนลืมความถูกต้องในการที่จะร่วมกันสร้างวัฒนธรรมที่ดีให้แก่สหายธรรม ญาติธรรม คนวัด หรือแม้กระทั่งนักบวชในอาวาสนั้นๆ ..  หลากหลายอาชีพจึงเกิดขึ้นมาเพื่อสนองกับตัณหา และความอยากพื้นฐานของคนในชุมชนที่มอมเมากับอบายมุขมานานแสนนาน  ซึ่งเกิดจากความล้มเหลวงของการปกครองในหมู่คณะนักบวชในสำนักนั้นๆ 

ศรัทธาต่อสมณะนักบวชกับคนละแวกบ้าน จึงไม่ค่ีอยเต็มใจ เต็มที่ในความรู้สึกเท่าไหร่.. จารีต วัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาก็ได้ทำตามกันไปโดยไม่ขัดใจคนรุ่นหลัง เพื่อจะได้ผ่านพ้นไป.. เพื่อจะได้จบสิ้นและทำอย่างอื่นต่อ..

เรื่องของสังฆเภท อาบัติ หรือพระวินัยที่จะต้องช่วยกันดูแล ปกป้อง ให้สงบเรียบร้อย กลับเป็นเรื่องที่ถูกหมางเมิน ใยดี หรือเอาใจใส่  ตรงกันข้าม กลับร่วมกันสร้างเรื่องราวให้พระในอาวาสแต่ละแห่งแตกแยกกันเอง  แต่ลืมคำว่า "สังฆเภท" ความแตกแยก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้เป็นความผิดร้ายแรง ระดับต้นๆ ที่เราเรียกว่า "ปาราชิก"

ความวุ่นวายเกิดขึ้นในแต่ละสำนัก ด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) จึงทำให้แต่ละสำนักกับละแวกบ้านอยู่กันอย่างกล้ำกลืน มองหน้ากันไม่ติด มีเพียงศรัทธาขาจรจากที่อื่นหลั่งไหลมาร่วมทำบุญ สมทบกิจกรรมมากมาย หรือแม้กระทั่งร่วมปฏิบัติศาสนากิจ  ส่วนคนข้างๆ วัดที่อยู่ร่วมกันมานับร้อยปี (นับอายุจากญาติสายตระกูล) มีเพียงข้าวเหนียวปั้นเดียวที่โยนใส่บาตรพระ เพียงเพราะทำตามหน้าที่!!

ความรุนแรงที่เริ่มคุโชนในแวดวงของศรัทธา ทำให้ "เสื่อม"  เป็นเพราะศรัทธาที่ขาดปัญญาในการเข้าสู่ร่มโพธิ์ เช่น บางคนเกษียณอายุราชการ กินเงินบำนาญหมดไป ไม่มีอาชีพ  จึงมาเป็นหลวงตาบิณฑบาตรหาเลี้ยงสีกาข้างวัดอยู่หลายเจ้า...   บางคนกลับเข้ามาบวช เป็นครั้งที่ 7 หรือ 8 เมื่ออดยาก แร้นแค้น ทำงานไม่ได้เงิน หรือต้องเลี้ยงลูกอันเกิดจากภริยาคนที่สอง สาม..

ญาติโยมบางท่านที่สามีมาบวชพระก็ตามเข้ามาเช่นเดียวกัน ค้าขาย หากำริกำไรกับ หวย หรือบริการสนองตัณหาให้แก่พระ โดยแลกกับค่าจ้างเท่าตัวของราคาสินค้าที่ไปเสาะแสวงหามาให้...

ระแวกกุฏิพระ จึงกลายเป็นที่พักของญาติโยมที่เร่ขายล็อตเตอรี่  หรือที่นั่งสนทนาขาหวยทั้งหลาย.. บรรดาที่ศรัทธาเลื่อมใสที่จะถวายจตุปัจจัย จึงได้ถอยร่นกลับมายังบ้านแล้วนั่งใตร่ตรองในเหตุผลว่า "เรากำลังสร้างกุศลกับเนื้อนาบุญอยู่ ใช่หรือไม่... หรือเรากำลังทำอะไรกันแน่... บุญ หรือ บาป..."

นานนับสิบปีที่พระคุณเจ้าบวชมาแล้วพอกพูนกิเ้ลส  และปฏิเสธพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ  แต่ตรงกันข้าม  ทุกวันนี้ทำงานรับจ้างญาติโยมในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น รับจ้างจัดโต๊ะในงานพิธีการของวัด  รับจ้างเย็บผ้า ซ่อมกระเป๋า หรือตัดเย็บเครื่องใช้ไม้สอยของญาติโยม... บอกผ่านขายถังสังฆทานให้กับร้านค้า... หรือแม้กระทั่งขายเศษอาหารก้นบาตรให้กับพ่อค้าโรงเลี้ยงหมู...!! 

คำว่า "ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน" เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้กับวงการสงฆ์ได้อย่างดีทีเดียว.. ซึ่งคนรอบวัด กรรมการ เหรัญญิก ที่เข้ามาพัวพันกับวัดแต่ละคนนั้น  ริบเอาผลประโยชน์กับทางวัดกันมากมาย  ขาดความจริงใจรวมถึงการสร้างกุศลในการที่จะพัฒนาวัดที่มาจากสามัญสำนึก...  บางแห่งเจ้าสำนักตัดความรำคาญ จึงยอมเซนต์ชื่อสั่งซื้อของต่างๆ ทั้งๆ ที่ทราบราคาขายต้นทุนจริง ๆ แต่ในใบรายการอีกราคาหนึ่ง... 

คงไม่ต้องสงสัยกันเลยว่า สำนักปฏิบัติธรรมที่งดงามในข้อวัตร วินัย รูปแบบ รวมถึงการบริหารที่งดงาม สวยหรู บางแห่ง ประสบความสำเร็จในการพัฒนา หรือการเผยแผ่ธรรมเป็นอย่างดี เพราะการบริหารงานจากจิตใจที่งดงาม ทุ่มเท รวมถึงการเป็นหนึ่งในใจเดียวกัน รู้คุณค่าของธรรมะ นักบวช และรวมถึงให้เกียรติกับคำว่า "ศรัทธา" ที่ไม่นำมาหากินเพื่อเข้ากระเป๋าของตัวเอง...

ดัชนีชี้วัดความงดงามในจารีตของบางสำนัก.. อยู่ที่คุณภาพของนักบวชและความศรัทธาที่มุ่งถวายแด่พระพุทธเจ้า  เพราะสำนึกดี กลัวบาป อกุศลจะติดตัวไปจนตาย..

เมื่อท่านอ่านแล้วคิดอย่างไร?  ท่านจะทำอย่างไรดีกับพุทธศาสนาที่กำลังวิกฤติ เน่าใน ไม่ใสสะอาด... ที่เขียนมาอยากเป็นกระจกให้ทุกท่านได้อ่านและช่วยกันวิเคราะห์ ร่วมถึงระดมความคิดในเชิงพัฒนาศาสนาของเราให้อยู่ยืนยงต่อไป ด้วยความใส บริสุทธิ์ ผ่องใส ในยามที่เรากราบพระพุทธ เชื่อมั่นในพระธรรมวินัย และศรัทธาอย่างจริงใจในพระสงฆ์....

คำสำคัญ (Tags): #พุทธทำนาย
หมายเลขบันทึก: 441727เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2011 09:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

นมัสการครับ

น้ำท่วมปาก ;-) เลยแกล้งบ่นไว้

ใน ขอรับฉัน (เล่นคำตาย) http://www.gotoknow.org/blog/lookouts/435036

"...ขอรับฉันวันนี้เห็นมีมาก    มีรอยลากจากสภาถึงหน้าวัด

จากข้างบนถึงข้างล่างมีทางตัด มีเชือกมัดรัดต่อทั้งกอเลย..."

เจ้าค่ะ อ่านแล้วก็รู้สึกปลง จะทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ........นอกจากทำใจให้ปล่อยวางว่า นิ้วมือคนเรายังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับสิ่งที่คาดหวังให้เป็นไปอย่างที่คิดไม่ได้..........

Much like the best content.

ชอบมาก เยี่ยม ที่สุด มีสาระ.

สาธู สาธู สาธู

สละสลวยทั้งความคิด คำพูด และทัศนคิติครับ หลวงพี่

อ่านแล้ว ทำให้เข้าใจถึง พระพุทธศาสนาในโลกปัจจุบันมากขึ้น

พระพุทธศาสนา ของเราอยู่ที่ใจน่ะครับ

เพียงเราปฏบัติตามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนเราไว้แล้ว

ชีวิตเราก็ จะ "สุข"

ผู้เกาะศาสนากินก็มี

ผู้ปฏิบัติจริงก็มี

พระเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ถ้าโยมถวาย พระปฏิเสธ ก็หมดเรื่องแล้ว

ถ้าจะแก้ ต้องแก้ชั้นผู้ใหญ่ของวงการศาสนาเป็นต้นมา

ไม่งั้นพระกับโยมก็ไม่ต่างกัน

ตายแล้วเป็น เปรต อย่าเห็นแก่ใด้ มั่งมีล้นฟ้า เอาไปไม่ใด้เลย แม้แต่ร่างกาย คือฝุ่นที่ถมธรณี จ้า..........

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท