บุคคลคุ้นเคยหลายท่านมักหล่นความสงสัยออกมาเป็นคำถามปฏิพากย์ให้ผู้เขียนช่วยไขข้อข้องใจว่าอะไรที่ดลใจให้คนในวัยเฉียดเข้าไปใกล้หลักสี่ ที่ไม่มีตรงไหนใกล้เคียงกับคำว่าเฟรชชี่ อีกแล้ว เกิดนึกอยากที่กลับไปนั่งเรียนในห้องเรียนอีกครั้ง และยังจะเรียนไปเพื่ออะไร
.. เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ ..
ผู้เขียนคงเลือกคำตอบที่ฟังดูดีประมาณนั้น หากสาระสำคัญของความต้องการเข้ารับการศึกษาในครั้งนี้ เป็นเพียงวิชาความรู้ในแขนงที่ตนเองยังไม่ประสา สำหรับนำมาประดับใส่รอยหยักในสมอง ดีกว่าปล่อยให้มันรกร้างว่างเปล่า หรือสุมไว้ด้วย Junk Mail ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ให้บังเอิญเหลือเกินว่าปรารถนานั้นหาใช่เพราะสาระสำคัญดังที่ว่าไม่ ด้วยเหตุนี้คำตอบของผู้เขียนที่บอกเล่ากล่าวออกไป จึงทำให้มิตรสนิทหลายคนอดไม่ได้ที่จะขบขันกับความอัศจรรย์ใจในอุดมคติที่พวกเขาคิดว่ามันช่างสุดโต่ง จนคาดไม่ถึงว่าผู้เขียนจะกล้าหยิบยกขึ้นมาเป็นคำตอบ …
ผมจะเรียนเพื่อเปลี่ยนโลก .. !!!
จาก ‘โลกใบเดิม’ ที่มองเห็น สัมผัส และใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบ 40 ปี โลกที่ความรู้ทั้งหลายจากตำรับตำราที่เพียรท่องเพียรอ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ถูกแยกออกจากชีวิตจนแทบจะไม่มีบทบาทอะไร ในวิถีทางดำรงชีพของตนเองในปัจจุบันเลย ปรับเปลี่ยนให้เป็น ‘โลกใบใหม่’ ที่กระบวนทัศน์จากการเรียนรู้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันจริงๆ บนดุลยภาพของชีวิตและความรู้ในมิติที่เป็นเนื้อเดียวกัน ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ ‘เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง’ ของ ‘สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน’
การศึกษาที่ ‘เอาชีวิตเป็นตัวตั้ง’ รูปแบบการจัดการศึกษาชนิด ‘ทวนกระแส’ แต่ไม่ ‘ทวนโลก’ ที่ผสานความสมดุลทางโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ชีวิต ผู้สอน และผู้เรียน’ เพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมทางความรู้ ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถใช้ชีวิต ‘หมุนตามโลก’ ไปอย่างมั่นคง ด้วยทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม และทุนทรัพยากรที่แต่ละคนมีอยู่ ไม่ว่าสภาวะทางสังคมและเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงดีร้ายประการใด
ซึ่งต่างกับระบบการศึกษาที่ ‘ใช้ความรู้เป็นตัวตั้ง’ ที่ผู้เรียนต้องท่องจำเนื้อหาจากตำราเพื่อสอบวัดค่าความรู้ที่ตนเรียน กลายเป็นความรู้ที่ผลิตซ้ำในยุคอุตสาหกรรมความรู้ (Knowledge Industry) ที่มีผลิตผลเข้าสู่ตลาดเป็น ‘จักรกลทางวิชาการ’ ที่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมได้อย่างคล่องปาก หากแต่ในวันที่เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของชนิดที่ ‘ไล่ตามโลก’ไม่ทัน ความรู้เหล่านั้นกลับนำมาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
นานเท่าไหร่แล้ว ที่ค่านิยม สังคม และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ร่วมกันสถาปนาระบบจารีตความรู้ (Knowledge Tradition) กระแสหลัก ที่แยก ‘ความรู้’ ออกจาก ‘ชีวิต’ แยก ‘ภูมิปัญญาท้องถิ่น’ ออกจาก ‘การศึกษา’ ด้วยวาทกรรมที่ปรุงแต่งจนมีสีสันบาดตาคอยชี้นำให้ผู้คนคล้อยตามว่า ‘มาตรฐานการศึกษา’ เช่นว่านั้นคือคำตอบของการเรียนรู้สำหรับชีวิตที่ดี ชีวิตที่ก้าวทันโลก ซึ่งทุกคนจำต้องเดินตาม
สำหรับผู้เขียนซึ่งผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมาแล้ว ทั้งในยุค ‘ฟองสบู่แตก’ และ ‘ต้มยำกุ้ง’ ที่เพื่อนร่วมชะตากรรมหลายๆ คนรำพันให้ได้ยินในวันที่สิ้นหนทางที่จะนำความรู้ซึ่งอุตสาหะร่ำเรียนมา ใช้เพื่อสร้างรายได้ให้กับตนอีกต่อไปว่า …
ไม่รู้จะเรียนมาเพื่ออะไร .. ???
โดยส่วนตัวจึงต้องขอพัก ที่จะผูกชีวิตไว้กับจารีตความรู้กระแสหลักทั้งหลายเหล่านั้น เพราะเข้าใจในชีวิตตนเองถึงวิถีที่ควรจะเป็นแล้วว่า ..
บทความโดย
พรายพิลาศ
จันทร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖
พ.ศ. ๒๕๕๔
หมายเหตุ : สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน กำลังเปิดรับนักศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2554 ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิตสาขาวิชาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น สาขาวิชาการจัดการสุขภาพชุมชน และสาขาวิชาการจัการการเกษตรยั่งยืน (เฉพาะดับปริญญาตรี)จำหน่ายใบสมัครและรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2554
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.life.ac.th
ไม่มีความเห็น