ในช่วงชีวิตวัยเด็กของผู้เขียนพบเห็นกับภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในตำบลบางระกำ อำเภอบางเลนติดต่อกัน 2 ครั้ง และเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้เกษตรกรเป็นอันมาก ครั้งแรกเป็นการเกิดพายุลูกเห็บ วันที่เกิดเหตุผู้เขียนเด็กมากจำได้ว่ายังไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียน ลมพายุพัดกระหน่ำรุนแรงมาก มีต้นไม้ใหญ่และบ้านเรือนของชาวบ้านเสียหายมาก
วันนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว มีลมและฝนตกหนักมาก ลมที่พัดมานั้นกระชากต้นไม้ให้เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาบางต้นที่ทานต่อแรงของลมไม่ไหวก็ล้มลง ผลมะม่วงทั้งอ่อนแก่พร้อมใจกันหล่นล่วงพื้นดิน แรงลมกระหน่ำรุนแรงหรือจะปลดปล่อยแรงแค้นที่มีมานา ฝนสายฝนสาดเทลงมายังพื้นดิน บ้านของชาวบ้านทำจากวัสดุหลากหลาย บางบ้านก็เป็นเรือนไม้หลังคามุงด้วยกระเบื้องก็เข็งแรงคนต่อแรงของลมและฝน บ้านใครหลังคามุงด้วยสังกะสีหรือตับจาก ก็เป็นต้องหลุดลอยตามลมไปหล่นในอยู่ในนาบ้าง ไม่นานก่อนที่ฟ้ามืดลูกเห็บจำนวนมากก็หล่นลงมาจากท้องฟ้า ผู้เขียนอยู่ในบ้านมองออกไปยังลานหน้าบ้านเห็นเม็ดน้ำเข็งขาวเกลื่อนลาน เจ้าก้อนลูกเห็บนี้จะละลายเร็วมาก น้ำแข็งที่เราเรียกมันว่าลูกเห็บนี้หล่นลงมาเพิ่มระดับความเสียหายให้คนในหมู่บ้านเป็นทวีคูณ หลังคาบ้านหลายหลังที่เป็นกระเบื้องรอดจากแรงลม แต่เมื่อถูกกระหน่ำด้วยลูกเห็บก้อนใหญ่ ก้อนเล็ก หลังคากระเบื้องก็เป็นอันแตกไม่มีเหลือสภาพดี ข้าวของในบ้านเปียกน้ำเสียหายเป็นอันมาก
แต่ที่สำคัญข้าวในนาของคนในหมู่บ้านที่ออกรวงสุกงอกน้อมรวงคอยเคียวอยู่ในท้องทุ่งนา เวลานี้มันต้องกับเม็ดลูกเห็บที่เทมาจากฟ้า เป็นผลให้เมล็ดข้าวหลุดหล่นจากรวงล่วงลงพื้น หลังพายุผ่านไปในรุ่งเช้าพ่อและแม่ออกไปสำรวจความเสียหายของนา แม่ผู้เขียนเดินร้องไห้เสียใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่เป็นความหวังของครอบครัว ที่เราลงทุนลงแรงเพื่อรอเวลาที่จะได้ผลจากมันเวลานี้ต้นข้าวไม่มีเมล็ดข้าวเปลือกเหลือไว้ให้เราได้เก็บเกี่ยวเลยเพราะผลของพายุลูกเห็บ ทำให้ต้นข้าวทั้งล้มลาบและเมล็ดข้าวก็ร่วงหล่นจากรวงไม่เหลือไว้ให้เราเลย เราจะเก็บข้าวทีละเม็ดทีละเม็ดอย่างไรได้หละ ทั้งหมดมันล่วงหล่นอยู่บนพื้นดินความหวังของแม่ผู้เขียนมันหล่นอยู่กับพื้นนานั้นเอง
วันนั้นแม่เดินร้องให้ไปตามคันนา นานแค่ไหนผู้เขียนจำไม่ได้แต่ที่จำได้แม่นคือปีนั้นบ้านเราไม่มีเงินไปจ่ายค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าน้ำมันดีเซลในการสูบน้ำ และค่าอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่พ่อแม่ต้องขอติดร้านค้าประจำหมู่บ้านไว้ก่อน เพื่อนำสินค้าของเขามาใช้ในครอบครัว พ่อไม่มีทุนรอนอะไรมากนักเมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ คุณคิดว่าปีนั้นเราจะเป็นอย่างไร บ้านเราทำนา 60 ไร่ก็นับว่ามากพอสมควร การจะทำนาในฤดูกาลถัดไปครอบครัวเราก็ต้องลงทุนในการจัดหาเมล็ดพันธ์และทุกอย่างที่ต้องใช้ในการดำเนินการเรื่องทำนา การไปกู้ยืมหรือติดค้างค่าวัตถุดิบของครอบครัวเราจึงทำให้หนี้ต้องเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว หากไม่เกิดเรื่องนี้อย่างน้อยเราก็ขายข้าวได้และมีเงินพอที่จะนำไปใช้หนี้ให้กับร้านค้า และเหลือไว้สำหรับลงทุนทำนาต่อไป แบ่งบางส่วนมาเลี้ยงดูทุกชีวิตในบ้าน เป็นเรื่องของธรรมชาติแต่พวกเราทำผิดอะไรธรรมชาติจึงลงโทษให้ต้องยากจนและเป็นหนี้
ข้าวสำหรับชาวนาคือชีวิต ชีวิตจะอิ่มจะอดก็เพราะข้าวประเทศของเราทำนาปลูกข้าวขายไปทั่วโลกมีชื่อในเรื่องการส่งขายข้าวได้เป็นที่หนึ่งในโลก ขายข้าวไปแรกน้ำมัน น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องจักรพลังงานที่ทำให้เครื่องจักรทำงาน แต่ข้าวเป็นพลังงานสำหรับคนเป็นน้ำมันของคนในประเทศและในโลกทั้งโลกแต่ คนปลูกข้าวจนลง จนลงทุกปี จนบางปีแทบไม่มีข้าวกิน ปีนั้นบางครั้งบ้านเราไม่มีเงินซื้อข้าวสารแม่ต้องเอาปลายข้าวที่เราซื้อไว้ต้มให้หมากิน มาเลือกดอกหญ้าออกหุงให้ลูกกินกันตายประทังความหิวไปก่อน คุณก็รับรู้กันทุกคนว่าประเทศที่เขาขายน้ำมันร่ำรวยขนาดไหน แต่เราประเทศผู้ขายข้าวรัฐบาลไม่มีสติปัญญาทำให้ข้าวแพงได้หรือแม้จะประกันราคาข้าว ผู้เขียนคิดว่าชาวนาไทยนี้ช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน แบกรับความเสี่ยงความไม่แน่นอนของชีวิตไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ต่อไปได้ ชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติดินฟ้าอากาศว่าจะได้ผลผลิตหรือไม่ เมื่อได้ผลผลิตแล้วตนเองก็ไม่มีสิทธิกำหนดราคาขาย แล้วแต่พ่อค้าคนกลางกำหนดหรือแล้วแต่โรงสีข้าวจะรับซื้อ พ่อค้าคนกลางก็เป็นผู้ที่ขายปุ๋ย ขายน้ำมัน สิ่งที่เป็นต้นทุนการผลิตคนพวกนี้ก็กำหนด นอกจากกดราคาข้าวแล้ว ยังได้กำไรจากการขายสินค้าของตน ตบท้ายด้วยดอกเบี้ยที่คิดกับชาวนาที่มาหยิบยืมเงินนำไปใช้ในครอบครัวระหว่างรอผลผลิต คนพวกนี้ค้าขายได้กำไรซ้อนกำไร และบังคับชาวนาทางอ้อมอีกว่าถ้าได้ข้าวแล้วไม่ขายให้พวกเขาต่อไปเขาก็ไม่ให้สินเชื่อกับชาวนา ผู้เขียนมองไม่เห็นเลยว่าชาวนาจะไปต่อรองอะไรกับใครได้ พ่อกับแม่ผู้เขียนที่นาที่ทำนานั้นก็เช่าเขาทำนา ส่วนหนึ่งของข้าวต้องจ่ายเป็นค่าเช่า
ผู้เขียนมองไม่เห็นว่าชีวิตชาวนาจะมีอะไรดีขึ้นเลย พ่อทำนาปีนั้นขาดทุนย่อยยับเป็นหนี้สินติดต่อกันมาอีกหลายปีกว่าจะใช้หนี้หมด ผู้เขียนเคยคิดเล่นๆ นี่ถ้ำพ่อขาดทุนปีหนึ่งและได้กำไรสักปีหนึ่งสลับกัน พ่อก็ยังพอมีหวังจะมีเงินเหลือได้บ้าง ในปีถัดมา พ.ศ.2526 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครปฐม น้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรเป็นเวลาหลายเดือน เป็นปีที่ผู้เขียนเข้าโรงเรียน ผู้เขียนไปโรงเรียนน้ำท่วมทั่วไปหมดมองไปทางไหนก้เห็นแต่น้ำแม้ถนนรถก็ถูกน้ำท่วม ที่โรงเรียนชั้นล่างของอาคารเรียนใช้ไม่ได้เพราะน้ำท่วมเกือบถึงชั้นสอง การไปโรงเรียน ต้องนั่งเรือไปเรียนหนังสืออยู่หลายเดือนกว่าน้ำจะลด โชคดีอยู่บ้างที่น้ำมาท่วมหลังจากพ่อเก็บเกี่ยวผลผลิตขายแล้ว แต่ปีนั้นพ่อเหลือเวลาทำนาได้เพียงหน้าเดียว ดูสิธรรมชาติ ทำ กระทำต่อพวกเราอย่างนี้เราก็ต้องทน เพราะอะไรหรือไม่รู้เหมือนกัน มันไม่มีทางให้เลือกอะไรเลย
ผู้เขียนเคยได้ฟังและอ่านปาฐกถาของเจ้าสัวซีพีเรื่องทฤษฏีสองสูงของท่านเจ้าสัว ธานินทร์ เจียรวรานนท์ เรื่องทฤษฏีสองสูงคือรายได้สูงกับสินค้าการเกษตรที่ราคาสูงขึ้น ที่กล่าวว่าเกษตรกรไทยมีความเสี่ยงสูงแต่ได้รับค่าตอบแทนต่ำ ซ้ำสินค้าการเกษตรต้องขึ้นกับเวลา และธรรมชาติ ปลูกแล้วเมื่อถึงเวลาก็ต้องขายไม่ขายผลผลิตก็เสียหาย หรือภัยธรรมชาติคุกคามเกษตรกรก็เสียหาย ฟังดูก็ไม่ยุติธรรมเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนเองก็ได้แต่ฟังและนึกสงสัยหลายประเด็นซึ่งเห็นขัดแย้งและคิดสงสัยว่าแนวคิดหรือวิสัยทัศน์ของผู้บริหารใหญ่ท่านนี้เป็นเรื่องจริงใจหรือเป็นเรื่องที่พูดแล้วเหมือนสอนผู้ปกครองประเทศนี้อยู่ ก็ดีถ้าเป็นเรื่องที่มีใครสักคนนำไปใช้และทำให้เกิดคุณูประการแก่ชีวิตเกษตรกรไทย(แต่ใครหละคือคนที่จะทำ) ผู้เขียนเองก็รู้สึกคล้อยตามอยู่หลายเรื่องแต่มันจะเป็นเพียงความรู้สึกของท่านผู้เชี่ยวชาญการบริหารธุรกิจการเกษตรหรือข้อเท็จแท้ๆที่ออกมาจากใจท่าน สมองเล็กของผู้เขียนก็ยากจะเข้าใจ
ผู้เขียนอยากเชิญชวนท่านทั้งหลายให้ลองหาข้อมูลทฤษฏี สองสูงของท่านเจ้าสัว มาอ่านและช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ก็จะเกิดประโยชน์ในการแรกเปลี่ยนเรียนรู้ของพวกเรา (หาด้วยGoogle ก็ได้ครับ) ไม่แน่อนาคตข้างหน้าประเทศเราอาจมีมหาเศรษฐีที่เป็นชาวนา หรือชาวนาบ้านเราจะได้รับสวัสดิการจากรัฐมากมาย จนได้เที่ยวรอบโลก จำได้ว่ามีนักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่ง กล่าวว่ารัฐที่ดีคือรัฐที่มอบสวัสดิการให้กับประชาชนของตนได้มาก (จำชื่อไม่ได้แล้วคุ้นว่าอ่านจากที่ไหนสักแห่ง)
ไม่มีความเห็น