เด็กๆกับจักรยานจะเป็นของที่คู่กันหรือเปล่าผู้เขียนไม่รู้ แต่จักรยานทำให้พวกเราเด็กๆไปมาได้อย่างรวดเร็วเพราะตอนเป็นเด็กเราต้องการที่จะเล่นซนไปตามประสาเด็ก จักรยานคันแรกของผู้เขียนเป็นจักรยานคันใหญ่ยี่ห้องเฟสสัน เป็นจักรยานที่พ่อและแม่ซื้อให้ตอนที่ผู้เขียนอยู่โรงเรียนชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งผู้เขียนก็จำจนทุกวันนี้ว่าคนที่จูงจักรยานมาหาผู้เขียนคือพ่อและมีแม่คอยช่วยประคองด้านหลังไม่ให้เสียหลักล้มลง พ่อและแม่ผู้เขียนขี่จักรยานไม่เป็น ภาพที่เห็นจึงเป็นจักรที่เป๋ไปเป๋มา (ถ้าขี่จักรยานไม่เป็นการจูงจักรยานก็จะไม่เป็นไปด้วย มันคอยจะล้มอยู่อย่างนั้น) จักรยานของพ่อคันใหญ่มากในขณะที่ผู้เขียนตัวเล็กเวลาที่ขี่ก็เหมือนกับว่าตัวเราต้องคอยโหนแฮนด์จักรยานตลอดเวลา โรงเรียนผู้เขียนอยู่ห่างจากบ้านประมาณเกือบสองกิโลเมตร ผู้เขียนต้องซ้อนน้องสาวไปด้วยคนหนึ่ง กว่าผู้เขียนจะโตพอที่ขี่จักรยานได้โดยนั่งบนเบาะจักรยานคันนั้นก็เกือบพังแล้ว
เพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งอยู่บ้านเลยจากผู้เขียนไปอีกใกล มีจักรยานตั้งแต่อยู่ประถมต้นทุกๆวันมันจะขี่จักรยานมาเรียกผู้เขียนที่หน้าบ้าน ให้ไปโรงเรียนพร้อมมันแต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ซ้อนท้ายมันไปหรอกเพราะจักรยานมันคันเล็กมากบางทีก็อาศัยให้เพื่อนเอากระเป๋านักเรียนวางซ้อนท้ายไปด้วย ผู้เขียนเองก็อยากได้แต่พ่อมาซื้อให้ตอนที่น้องเริ่มเข้าโรงเรียน พ่อคงเห็นว่าผู้เขียนต้องมีน้องไปเรียนด้วย ในยามหน้าหนาวเราเดินไปโรงเรียนกว่าจะถึงก็หนาวมาก ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็กตัวเล็กๆ เวลาถึงฤดูหนาวรู้สึกว่าหนาวมากเหลือเกิน ทางเดินที่ต้องไปโรงเรียนในความรู้สึกของผู้เขียนมันก็แสนใกล
ผู้เขียนขี่จักรยานเป็นก่อนที่พ่อจะซื้อรถจักรยานให้หลายปี ผู้เขียนขอเพื่อนหัดบ้างบางทีก็ขอยืมของคนข้างบ้านขี่บ้าง ถนนบ้านผู้เขียนเป็นทางดินเทหน้าด้วยลูกลังเวลาหน้าฝนผิวหน้าถนนก็จะเป็นหลุมเป็นบ่อมากไม่เสมอเหมือนในปัจจุบันนี้ เวลาที่มีรถใหญ่วิ่งบรรทุกพวกพืชผลทางการเกษตรหรือรถสิบล้อขนดินวิ่งมากๆถนนก็จะพังได้อย่างง่าย ดายบางครั้งก็มีรถติดหล่มดิน และทุกๆปีหลังฤดูฝนทางการก็จะมีงบประมาณให้หมู่บ้านซื้อหินคลุกหรือลูกลังมาเทปรับหน้าถนนให้เสมอ การเทก็จะใช้รถสิบล้อขนมาเทและเทไว้เป็นกองๆ ทิ้งไว้อย่างนั้นหลายวันกว่าจะมีรถเกรดมาปาดเกลี่ยให้เสมอกัน ผู้ใหญ่หลายคนเวลาไปมาทำธุระระหว่างกันก็จะขี่จักรยาน หาคนที่มีรถยนต์หรือจักรยานยนต์ได้น้อย การหัดจักรยานของผู้เขียนนั้นกว่าจะเป็นได้ขาสองข้างมีแต่แผลเป็น บางครั้งก็หล่นลงไปในบ่อข้างถนน ตกลงไปหลายครั้ง เสร็จแล้วก็ลากจักรยานขึ้นมาและขี่ต่อเป็นอยู่อย่างนั้นประจำ
วันหนึ่งเกือบจะถึงเวลาเคารพธงชาติ แล้วผู้เขียนนึกขึ้นได้ว่ามีงานประดิษฐ์ที่ต้องส่งให้ครูในวันนี้ถ้าไม่ส่งก็จะถูกครูทำโทษได้ (ทำโทษก็คือตีด้วยไม้เรียวหลายทีตีเจ็บจริงครูคนนี้ ไม่รู้เวลาตีลูกจะตีอย่างนี้หรือเปล่า พ่อแม่ผู้เขียนเวลาพบกับครูก็บอกว่าให้ตีมันได้ ลูกถูกตีมาคราวใดก็ไม่เคยว่าครูกับบอกว่าลูกไม่ดีครูจึงต้องตี บางครั้งตีจนเป็นแนวหลายแนวเลย ถ้าเป็นสมัยนี้มีหวังพากันไปฟ้องปวีณาแล้ว ) ผู้เขียนขอยืมจักรยานคู่ชีพเพื่อนรักรีบปั่นบ้านเอางานมาส่งครู ถนนลูกรังกว้างพอที่รถใหญ่จะวิ่งสวนกันได้ ผู้เขียนขี่จักรยานเป็นได้ไม่นานจึงขี่ได้ไม่ตรงทาง ขี่คดไปคดมาทั้งถนน ขณะนั้นเองมีจักรยานยนต์หนึ่งวิ่งสวนมาผู้เขียนจำได้ว่าเป็นน้าชาชีพกับแฟนเขานั่นเอง วันนั้นเป็นวันพระสองคนนี้กำลังจะไปทำบุญที่วัด แฟนน้าชีพแต่งกายเต็มยศชุดไทยสวย งาม ผู้เขียนเคยแอบมองแฟนน้าชีพเสมอ เห็นว่าเธอเป็นสวยคนหนึ่งในหมู่บ้านเราเลย ขณะนั้นเองเราขับสวนทางกัน จักรยานผู้เขียนและรถมอเตอร์ไซน้าชีพก็หลบกันไปมา ผู้เขียนเสียหลักล้มลงอย่างแรง มอเตอร์ไซน้าชาติพุ่งไปอยู่ในนาข้าวน้าชาติและแฟนก็ล้มกลิ้งอยู่ข้างรถของเขา ทันทีที่แฟนน้าชีพลุกขึ้นนั่งได้เธอก็ร้องโวยว้ายด้วยความโมโหด่าทอผู้เขียน และให้รางวัลผู้เขียนด้วยรองเท้าสองข้างของเธอที่บินมาหาผู้เขียนทีละข้าง น้าชีพไม่ว่าอะไรกับห้ามปรามแฟนสาว เป็นอันว่าวันนั้นสองน้าไม่ได้ไปทำบุญเพราะปิ่นโตและขันข้าว แยกกันคนละทาง หล่นคว่ำอยู่ในนาข้าว เสื้อผ้าสองน้าเปราะดิน ส่วนผู้เขียนลุกขึ้นได้ยกมือไหว้ขอโทษคว้าจักรยานไปต่อ (เผ่นสิอยู่ได้หรือแม่เสือร้ายกำลังคำรามสนั่นทุ่ง)
จักรยานสำหรับผู้เขียนเมื่อออกจากโรงเรียนแล้วก็ยังคงใช้เป็นของคู่กายเสมอไม่ว่าจะไปไหน ขี่ได้ไปได้ใกลหลายกิโลเมตร มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อย้ายบ้านมาอยู่อำเภอพุทธมณฑลแล้วมีเรื่องน้อยใจแม่กับพ่อผู้เขียนก็ขี่จักรยานออกจากบ้านไปตามสายสุพรรณบุรีตลิ่งชัน เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนนั้นถนนสายสุพรรณบุรีตลิ่งชันมีถนนสองฝั่งตรงเป็นร่องน้ำ สองข้างทางมีร้านขายสินค้าและขายต้นไม้จำนวนมาก ทุกระยะทางประมาณ 500 เมตรก็จะมีศาลารอรถเป็นศาลาที่มีจั่วแหลม ทุกวันนี้ศาลาแบบนี้เหลืออยู่ไม่กี่หลัง ผู้เขียนขี่จักรยานไปเรื่อย ๆ อาศัยไฟถนนในยามค่ำคืนเป็นเพื่อน ยิ่งดึกรถก็ยิ่งน้อย เมื่อมองดูป้ายบอกทางก็เห็นว่าไปสุพรรณ ผู้เขียนยังคงขี่ไม่หยุด ดึกมากแล้วผู้เขียนอยู่ที่สี่แยกนพวงศ์ แต่ก็ตัดสินใจไม่หยุด จนเหนื่อยมากจึงหยุดพักนอนที่ศาลา ไม่เคยไม่ความคิดว่ากลัวเลยในเวลานั้น ใช้เวลาสองวันจึงไปถึงอำเภอบ้านแพนจังหวัดอยุธยา ไม่รู้ว่าไปถึงได้อย่างไรทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปที่นั่นเลย เมื่อเข้าไปที่ตลาดบ้านแพนผู้เขียนก็เริ่มเปลี่ยนความคิด เริ่มคิดได้ว่าโลกของความเป็นจริงนั้นมันสับสนวุ่นวายหรือเกินมีคนมากมายที่เราไม่รู้จัก ผู้เขียนเข้าไปที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อไปขอข้าวพระกิน ด้วยความเป็นเด็กจึงได้กินข้าว จำได้ว่าผู้เขียนไม่ค่อยพูดอะไรกลัวและไม่ค่อยไว้ใจใคร แม้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นพระ ท่านถามผู้เขียนว่าหนีใครมาผู้เขียนก็เฉย ท่านถามผู้เขียนว่าทำความผิดอะไรมา ผู้เขียนก็เฉย สุดท้ายท่านว่าถ้าไม่ได้ทำผิดอะไรก็จงกลับบ้าน คนเราถ้าไม่ทำความผิดก็ต้องอยู่สู้กับความจริง ไม่วิ่งหนีปัญหา ต้องหันหน้าเข้าหาปัญหา ใช้ความดีเข้าสู้ เมื่อออกมาพ้นประตูวัด ผู้เขียนตัดสินใจขี่จักรยานย้อนทางกลับมาสู่เส้นทางเดิมกลับมายังบ้านที่ผู้เขียนเองเคยคิดว่าทุกคนไม่เข้าใจและไม่รัก ทำร้ายจิตใจผู้เขียนเหลือเกิน
ผู้เขียนรู้แล้วว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ได้รู้ว่าโลกนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้จักต้องมากมาย จะให้อารมณ์นำพาเราไปได้อย่างไร ปีนั้นเป็นปี 2533 ผู้เขียนอายุ 14 ปี ขี่จักรยานอยู่ 3 วัน 2 คืน หลังจากวันนั้นมาผู้เขียนก็ได้คิดว่าไม่มีที่ไหนที่อบอุ่นและปลอดภัยเท่าบ้านที่มีพ่อและแม่ เรื่องนี้เกิดได้ 20 ปีแล้ว (วันนี้ปี 2553)
ไม่มีความเห็น