หน้าแรก
สมาชิก
นาย ศิริพงษ์ สิมสีดา
สมุด
นโยบายรัฐกับการพั...
KM ที่รัก ตอนที่...
นาย ศิริพงษ์ สิมสีดา
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
KM ที่รัก ตอนที่ 40 "การวิจัยแบบติดชึ่ง"
ถ้าเราไม่จัดการความรู้ ความไม่รู้ก็จะมาจัดการเรา
Action Research เป็นการวิจัยที่เรียกว่า "ตำตาตำใจ" Action แบบว่า "เต่ท่า" (ครูบาสุทธินัน์ )แต่ความหมายของ Action ที่ตรงใจที่สุด น่าจะเป็น "ติดชึ่ง" ชึ่งน่าจะมีความหมายว่าการไม่อยู่นิ่งมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนเราเต้นรำในสมัยก่อน ทำไมต้องมีการวิจัยแบบติดชึ่ง เนื่อง่จากประเทศไทยเราในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะการล่มสลาย เราพัฒนาประเทศแบบหลงทาง ผู้นำไปเชื่อต่างชาติ เชื่อทฤษฏีทันสมัยนิยม ลืม "กำพืด" ตัวเองว่าเราเป็นประเทศเกษตรกรรมมีความเด่นทางความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ซึ่งประเทศตะวันตกหลายประเทศไม่มี เมื่อเขาไม่มีเขาจึงพยายาม หาจุดเด่นของเขาเพื่อพัฒนาประเทศ เช่นประเทศเยอรมันนี หลังแพ้สงครามโลก ประเทศเขาล่มสะลาย เขาพยายามหาวิธีการ ที่จะกอบกู้ประเทศให้กลับมาเจริญอีกครั้ง แต่เนื่องจากประเทศเขาเป็นเมืองหนาวที่ยาวนาน ทรัยพากรทางธรรมชาติมีน้อย (ที่เป็นอาหาร) แต่ตัวเยอรมันมีความเฉลี่ยวฉลาด มีระเบียบวินัยมากมีความผิดพลาดน้อยมาก และมีแร่เหล็กที่เป็นต้นทุนหลักของอุตสาหกรรม เยอรมันจึงเริ่มวางแผนการพัฒนาประเทศด้วยอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และเครื่องจักรกล แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีความหลากหลายทางชีวิภาพที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว แต่เรากลับไปทำอุตสาหกรรมแข่งกับประเทศอื่น จึงทำให้เรามีแต่ตกเป็นเบี้ยล่างของการตลาด แสดงว่าเราไม่รู้จักตัวเองว่าเราเป็นใครมีน่าตาเป็นอย่างไร มีความสามารถอะไร เมื่อไม่รู้จักตัวเอง และไม่รูจักคนอื่น แล้วจะทำอะไรสำเร็จ ดังโปราณว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" แสดงว่าการพัฒนาต้องเริ่มจากตัวเราเอง เมื่อพัฒนาตัวเองได้ดีแล้ว เข้าใจตัวเองแล้วจะสามารถเข้าใจคนอื่นและไปพัฒนาคนอื่นต่อไปได้ เพราะว่าคนที่ไม่รู้จักตัวเองย่อมไมรู้จัดคนอื่น "อย่าฝันว่าปลูกมะม่วงแล้วจะได้มะพร้าว" แต่ถ้าปลูกมะม่วงแล้วทำให้มะม่วงงามขึ้น จะดีมากครับ การวิจัยแบบ "ติดชึ่ง" ต้องเชื่อมโยงกับคนอื่นที่มีส่วนร่วมกับการทำงานเราเมื่อทำงานวิจัยแล้วต้องเกิดภาพรวมที่แท้จริง ซึ่งหลักการวิจัยแบบติดชึ่ง น่าจะสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ไตรสิกขา ซึ่งได้แก่ ศิล สมาธิ และปัญญา ศิล คือการรับข้อมูล เห็นสัมผัส แบบปกติ ส่วนสมาธิ คือการกลั่นกรองและตกผลึก และปัญญา คือความสาว่างที่เกิดขึ้นหลักจากผ่าน ศิล สมาธิ มาแล้วก็คือ สามารถอธิบายเชิงเหตุผลได้อย่างลึกซึ่งนั่นเอง
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นาย ศิริพงษ์ สิมสีดา
ใน
นโยบายรัฐกับการพัฒนาชุมชน
คำสำคัญ (Tags):
#หลักสูตร
#ปริญญาโท
#ปริญญาเอก
#พัฒนบูรณาการศาสตร์
#มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
หมายเลขบันทึก: 43892
เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2006 23:42 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:35 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นาย ศิริพงษ์ สิมสีดา
สมุด
นโยบายรัฐกับการพั...
KM ที่รัก ตอนที่...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท