ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๔ ผมในฐานะหัวหน้าระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จะต้องออกไปเสนอแนวทางในการพัฒนาเด็กๆ ว่ามีแนวทางอย่างไร ต่อหน้าท่านผู้อำนวยการ และคณะครูของเรา ก็เลยไปเล่านิทานคุณธรรมเรื่อง "บัณฑิตหนุ่มผู้รอบรู้ กับคนแจวเรือ" ก่อนการนำเสนอโครงการ ดังนี้ครับผม
มีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร หลังจากได้รับปริญญาแล้ว บัณฑิตหนุ่มก็เดินทางกลับหมู่บ้านของตนในชนบทอันห่างไกล หมู่บ้านแห่งนี้ถนนยังตัดเข้าไปไม่ถึง ดังนั้นใครก็ตามที่จะเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งนี้ต้องโดยสารทางเรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การเดินทางใช้เวลานานมาก บัณฑิตหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะไม่มีอะไรทำ จึงชวนคนแจวเรือพูดคุย
"นี่ลุง ลุงมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องภาวะโลกร้อนบางละ ลุงคิดว่ามันจะมีอิทธิพลต่อท้องถิ่นของเรามากน้อยเพียงใด"
คนแจวเรือได้แต่ยิ้ม ก่อนจะตอบกลับไปว่า "กระผมไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย"
"โอ้ย ตายละ" บัณฑิตหนุ่มอุทานด้วยความผิดหลัง "ลุงไม่รู้อะไรเลยหรือว่าเรื่องนี้มันสำคัญกับโลกของเรามากแค่ไหน ตอนนี้ใครๆ ต่างก็ให้ความสนใจเรื่องนี้ แต่ลุงกลับไม่รู้อะไรเลย แบบนี้เท่ากับชีวิตของลุงสูญเปล่าไป ๒๕% แล้ว"
คนแจวเรือไม่ได้ตอบกลับบัณฑิตหนุ่มไปว่าอะไร เขาได้แต่ทำหน้าที่แจวเรือของเขาไปเรื่องๆ สักพักบัณฑิตหนุ่มก็ชวนคนแจวเรือพูดคุยแก้เบื่ออีก
"นี่ลุง ลุงคิดว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเราเป็นอย่างไร ลุงว่าเขาจะพาประเทศชาติของเราไปรอดหรือเปล่า"
คนแจวเรือตอบบัณฑิตหนุ่มไปว่า "กระผมไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลยครับ"
บัณฑิตทั้งผิดหวังและเสียใจในคำตอบของคนแจวเรือ "อะไรกันลุง นี่มันเรื่องใหญ่ระดับประเทศเชียวนะ แต่ลุงกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย อย่างนี้ก็เหมือนชีวิตลุงสูญเปล่าไป ๕๐%แล้ว"
คนแจวเรือไม่ได้ว่าอะไร และยังคงทำหน้าที่แจวเรือของเขาต่อไป ตัวบัณฑิตหนุ่มเองนั้นก็ไม่มีอะไรทำ ก็รู้สึกเบื้อ จึงถามคนแจวเรือขึ้นมาอีกว่า
"นี่ลุง ลุงคิดว่าตลาดหุ้นของเราเป็นอย่างไร จะชึ้นหรือลง"
"ตลาดหุ้นหรือครับ" คนแจวเรือทวนคำถามเสียงฉงน "กระผมเองรู้จักแต่ตลาดสดที่ไปจ่ายตลาด กับผักเอาปลาไปขาย ตลาดหุ้นอะไรนี่กระผมไม่เคยได้ยิน ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร"
"อะไรกันลุง" บัณฑิตหนุ่มโวยวายลั่น "ในชีวิตลุงจะรู้บ้างไหมนี่ ลุงไม่เห็นรู้เรื่องอะไรสักอย่าง แบบนี้ก็เท่ากับชีวิตลุงสูญเสียไปแล้ว ๗๕% เลยนะ"
เนื่องจากเวลานั้น ภาวะโลกร้อนเริ่มส่งผลกระทบทำให้สภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จู่ๆ เมฆทะมึนลอยเข้ามาปกคลุมหนาแน่นในบริเวณนั้น ลมพัดแรงขึ้น ขณะคล้ายพายุจะมา เรือที่บัณฑิตหนุ่มนั่งก็โคลงเคลงอย่างน่ากลัว จนในที่สุดน้ำก็เริ่มปริ่มเข้าเรือ
"ท่านครับ ท่านว่ายน้ำเป็นไหมครับ" คนแจวเรือเป็นฝ่ายถามบัณฑิตหนุ่มเป็นครั้งแรก
"ผมว่ายน้ำไม่เป็น" บัณฑิตหนุ่มตอบด้วยเสียงตระหนก
คนแจวเรือพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นชีวิตของท่านก็กำลังจะสูญเสียไป ๑๐๐% แล้วละครับ"
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การจัดการศึกษาในปัจจุบันนี้ มุ่งแต่จะให้เด็กเป็นคนเก่ง มีความรู้มากมายหลายเรื่อง แต่บางครั้งความรู้เหล่านั้นไม่สามารถช่วยให้พวกเขาเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์จริงได้ ดังตัวอย่างบัณฑิตหนุ่มข้างต้น มีความรู้มากมาย สามารถพูดคุยได้หลายเรื่อง แต่พอถึงเวลากลับเอาตัวเองไม่รอด
ซึ่งต้องขอขอบคุณเจ้าของนิทานคือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา แห่งโรงเรียนสัตยาไส จังหวัดลพบุรี ที่ตัวผมได้เคยได้มีโอกาสใกล้ชิดท่านในฐานะครูผู้สอนที่โรงเรียนแห่งนี้ และได้ใช้ประสบการณ์ดีๆ มาใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนปัจจุบัน เพื่อพัฒนาเด็กๆ อันเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติต่อไป
โดยเรากำหนดเป้าหมายและภารกิจหลักในการบริหารจัดการระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ดังนี้ครับ
เป้าหมาย
๑. นักเรียนมีความสามัคคี มีความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมาย
๒. นักเรียนมีความริ่เริ่มสร้างสรรค์ กล้าแสดงออกตามแนวทางที่ถุกต้อง
๓. นักเรียนมีระเบียบวินัย ยอมรับและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
๔. นักเรียนประพฤติปฏิบัติตนตามวิถีความเป็นไทย และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
๕. นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการเรียนรู้ และสามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
๖. นักเรียนประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของศาสนาได้
ภารกิจ
๑. ส่งเสริมศีลธรรม จริยธรรมให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน
๒. ส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่ม
๓. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพตามความถนัด และความสนใจของผู้เรียน
๔. ปลูกฝังความมีระเบียบวินัย และเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
๕. ส่งเสริมลักษณะความเป็นไทย เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้ภาษาไทย การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
- แหม อยากให้ดอกไม้สักหลายๆ ดอกทำอย่างไรเนียะ
- พอกดอีกที ดอกไม้หายไปเลย
- เป็นโรงเรียนที่อยากให้ลูกเรียนที่สุดเลยครับ
อยากเรียนรู้อย่างคนแจวเรือ
แต่คุณบัณฑิต..เขาจะมาสอบเรา..นิ
สวัสดีค่ะน้องฐา..
นิทานก็หักมุมได้ดีมาก ต้องขออนุญาตนำไปเล่าต่อ
แนวทางที่จะนำไปปฏิบัติ ก็สามารถใช้กับเด็กประถมได้
...อ้าว แบบนี้พี่เริ่มจะเป็นคนแจวเรือแล้วสิเนี่ย อิอิอิอิ
สบายดีนะคะ...
...หลังสงกรานต์พี่ไปบุรีรัมย์มา ระลึกนึกถึงอยู่นะคะ....
สวัสดีค่ะครู'ฐานิศวร์'คนเก่ง
แวะมาทักทายและอ่านนิทานดีๆปรับใช้ได้กับหลายสถานการณ์นะคะ
ได้สาระดีด้วย
ขอบคุณค่ะสำหรับแง่คิดดี ๆ ชอบมากเลยค่ะ ขออนุญาตนำนิทาน และข้อคิดของ ดร.อาจอง ไปบูรณาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนศ.นะคะ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์
จากนิทานสอนใจชวนให้คิดว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตนี่ยิ่งสำคัญ
ชื่นชมในเป้าหมายและภารกิจทุกข้อโดยเฉพาะภารกิจข้อที่4ปลูกฝังความมีระเบียบวินัยและการเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่นค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ
ผมชื่นชมท่าน ดร.อาจอง มานานแล้วครับกับการเขียนหนังสือและคุณธรรมของท่าน..แต่ไม่มีโอกาสเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิด..อยากให้หลานได้เข้าไปเรียนมาก..กับออกมาเป็นคนดีของสังคม..ที่ไม่เห็นแก่ตัว..