หนานเกียรติ
เกียรติศักดิ์ หนานเกียรติ ม่วงมิตร

เบิ้ม - วีระพงษ์ กังวานนวกุล


 

     ผมเป็นคนมีเพื่อนไม่มากนัก แต่ในจำนวนไม่มากเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น “เพื่อนแท้” และหนึ่งในนั้นก็คือ

    “เบิ้ม - วีระพงษ์ กังวานนวกุล”

     ผมรู้จักเบิ้มทีหลังลัดดา คู่ชีวิตของเบิ้ม ผมเคยร่วมงานกับลัดดาในขบวนการกองทุนเพื่อสังคมเมื่อครั้งผมยังเป็นพระ อาจเป็นเพราะรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีโลกทัศน์ที่ใกล้เคียงกัน ผมกับลัดดาจึงค่อนข้างสนิทสนมกัน และเป็นสื่อชักพาให้ผมมาพบและรู้จักกับเบิ้มในเวลาถัดมา

     แรกเริ่มที่รู้จักเบิ้มนั้น เบิ้มหอบผ้าผ่อนตามลัดดาไปอาศัยที่บ้านป่าแดดแล้ว

     ตอนนั้นเบิ้มเริ่มต้นงานกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการพัฒนาบ้างแล้ว หลังจากล้มลุกคลุกคลานมาพักใหญ่จนกระทั่งเบิ้มได้รับรางวัลอโชก้าเฟลโลว์ก็เริ่มลืมตาอ้าปาก ทำงานได้มากขึ้น กระทั่งผลงานโด่งดังไปในระดับประเทศ ออกรายการโทรทัศน์เป็นว่าเล่น ถูกสัมภาษณ์ออกนิตยสารต่าง ๆ ก็มากมาย ฯลฯ

     (แหะ แหะ พูดแล้วจะหาว่าคุย ตอนนั้นปี ๒๕๔๐ ผมเป็นคนไปจัดวงพูดคุยถอดบทเรียนการทำงานของกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ ตั้งแต่คำว่าถอดบทเรียนยังไม่ฮิตเหมือนทุกวันนี้)

     ถ้าจำไม่ผิด เบิ้มน่าจะเป็นผู้เสนอชื่อให้ผมเข้ารับรางวัลอโชก้าเฟลโลว์ด้วย และผมก็เป็นเฟล์โลว์ตามเบิ้มไปหลังจากนั้นราวสองสามปี

     ช่วงนั้นนอกจากการพบปะกันในเวทีพูดคุยตามประสาจริตของเหล่า NGO ที่มักจะจัดประชุมพูดคุยอยู่เสมอ ผมกับเบิ้มก็จะพบปะเจอะเจอกันในวงพูดคุยของเหล่าสมาชิกอโชก้าเฟลโลว์ด้วย

     ผมและเบิ้มหลุดการติดต่อกันไปน่าจะสักสองสามปี กระทั่งก่อนปิดเรียนภาคฤดูร้อนปีหนึ่ง ก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้ามาหาผม “พี่หนานผมเบิ้มนะ” คือคำทักทายของเบิ้ม ไม่ทันจะกล่าวทักทายอะไรกันมากมายนัก เบิ้มก็เล่าถึงงานที่เขาทำ และกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แล้วก็หักคอให้ผมไปช่วยงานด้วย งานนั้นคือ “ค่ายเด็กหัวแหลม” ของศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษแห่งชาติ องค์การมหาชนสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น

     ผมไปจัดค่ายให้กับเยาวชนที่กำลังจะขึ้น ม.๑ จำนวนยี่สิบกว่าคน ซึ่งแต่ละคนฉลาดเป็นกรดที่ได้มาจากกระบวนการคัดกรองอย่างดีจากทั่วภาคเหนือ ครั้งนั้นเป็นค่ายมาราธอนใช้เวลาต่อเนื่องครึ่งเดือน

     และหลังจากนั้นเป็นต้นมาเบิ้มก็หอบหิ้วเอาผมไปจัดค่ายในทุกช่วงปิดภาคเรียนตลอดปี กระทั่งที่สุดก็ดึงเอาผมเข้าไปทำงานประจำเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” ที่เงินเดือนค่อนข้างสูง สวัสดิการดีเยี่ยม ในองค์กรที่เบิ้มทำงานอยู่

     เราทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ไม่นาน สำนักงานฯ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการรัฐประหาร ๑๙ กันยา ผู้บริหารชุดเดิมถูกบีบให้ออก แต่งตั้งผู้บริหารชุดใหม่มาแทน งานทุกอย่างชะงักลง กว่าจะเริ่มต้นทำงานได้ก็ปาเข้าไปหลายเดือน

     ผมกับเบิ้มทำงานด้วยกันจริง ๆ จัง ๆ ราวสองปี เป็นช่วงที่ทำงานสนุกและมีความสุขมาก

     ในช่วงที่ได้ผู้บริหารไม่เหมาะสม ผมและเบิ้มเป็นหัวหอกในการขับใสไม่ให้ผู้บริหารท่านนั้นอยู่ในตำแหน่งอย่างราบรื่น กระทั่งต้องพ้นตำแหน่งออกไป โชคร้ายของประเทศที่ยังได้ผู้บริหารแบบเดิมมาอีกผมและเบิ้มเห็นความเน่าในระบบก็ถอนตัวเองออกมา ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินอะไร

     ผมไม่สู้จะเดือดร้อนนัก แต่เบิ้มค่อนข้างลำบาก หลังจากออกจากงานนั้นมาก็เข้าทำงานในหน่วยงานรัฐอีกแห่งหนึ่ง แต่ระบบก็ไม่สามารถทำให้เบิ้มทำงานได้อย่างที่ตั้งใจในที่สุดก็ต้องออกจากงานมาอีกครั้ง เป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวของเบิ้มจึงมีคนชักชวนเข้าทำงานอีกจนได้ ผมได้ยินเสียงเบิ้มบ่นจากระบบงานที่ไม่เอื้อต่อการเดินไปข้างหน้าได้อีก ไม่รู้ว่าเบิ้มจะทนได้สักเท่าไร

     ในช่วงที่เบิ้มทำงานศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษนั้น ได้เก็บเงินเก็บทองก้อนหนึ่งและกู้เพิ่มเติมปลูกบ้านที่เชียงราย วันนี้ความยากลำบากด้านการเงินทำให้เบิ้มต้องประกาศขายบ้าน ผมช่วยเหลือเบิ้มเท่าที่จะช่วยได้ แต่ก็เสียใจไม่น้อยที่ไม่สามารถช่วยเบิ้มได้มากไปกว่านี้ได้

     นี่คือข้อความที่เบิ้มเขียน

     “...ด้วยความตั้งใจในก่อสร้างบ้านหลังหนึ่งด้วยความรัก บนเนื้อที่ สามงานครึ่ง พื้นที่บริเวณบ้านถูกแบ่งการใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ พื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่เอนกประสงค์ พื้นที่สีเขียว “ผมทบทวนและจึงตัดสินใจประกาศขายเพื่อให้คนที่รักบ้านได้อยู่บ้านหลังนี้” เพราะต้องการจัดระบบชีวิตใหม่ในตนเองและครอบครัว ผมคิดพิจาราณาอยู่หลายครั้งหลายคราว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ “เพียงหาเงินจ่ายค่าผ่อนบ้านเป็นเดือนๆไป” ทำให้ศักยภาพของผมที่ทำงานสร้างสรรสังคมถูกบั่นทอนไปทั้งจินตนาการและความฝัน ผมตั้งใจว่าหาก ผู้ที่สนใจซื้อบ้านหลังนี้ไป ในราคาแปดล้านบาทถ้วนนี้ ผมจะนำรายได้จัดการชีวิตรายเดือนเพื่อสร้างอิสระภาพใหม่ในความฝันและจินตนาการและส่วนที่เหลือนำไปปรับปรุงพิพิธภัณฑ์เล่นได้ บ้านป่าแดด ตำบลป่าแดด อำเภอเเม่สรวย จังหวัดเชียงราย ต่อไป

     สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าเบิ้มเป็นคนสอนและตอกย้ำผ่านตัวเขาให้ผมรู้ว่า “จงซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง” ดังในข้อความของเขา

หมายเลขบันทึก: 436737เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2011 07:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

เพื่อนแท้ แค่คนเดียวก็พอ.......

การสูญเสีย ความสร้างสรร จินตนาการ ความฝัน

คือการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต มากกว่า เสียทรัพย์สิน

สวัสดีค่ะ

ชื่นชมวีระพงษ์          ผู้ดำรงสืนสานฝัน

จวบนี้หนึ่งชีวัน          ขอเป็นจริงสมตั้งใจ

คนที่มีความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่อยู่ในสถานะที่แน่นอน

แต่คือคนที่มีทัศนคติที่แน่นอน

สวัสดีครับ ป้ามะลิ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ

"เพื่อนแท้ แค่คนเดียวก็เกินพอ"

ถ้าอย่างนั้นผมก็เกินพอไปมากเลยหละครับ ฮิ ฮิ...

สวัสดีครับ อ.วัฒนา คุณประดิษฐ์ 

เห็นด้วยทุกประการกับความเห็นของอาจารย์ครับ
แต่ทั้งที่หลายคนที่ไม่เห็นแย้ง กลับทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาหรือรักษาทรัพย์สินยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ 

สวัสดีครับ พี่จันทน์รักษ์ 

ขอบคุณสำหรับกวีที่ไพเราะนี้ เจ้าตัวได้อ่านคงจะดีใจไม่น้อย...
แหะ แหะ อยากแต่งเป็นกลอนตอบ แต่จนด้วยเกล้าครับ 

สวัสดีครับ คุณจริยา ชอบคุย

เห็นด้วยมาก ๆ ครับกับความเห็น

แต่ว่าคนเป็นคนกลุ่มน้อยใช่ไหมครับ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมอ่านบันทึกครับ

-ขออนุญาตแบ่งปันไปหน้าFb นะคะ...

ชอบบทความและความมุ่งมั่นของทุกคน

ความจริงอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับคุณและบาทหลวงมากกว่านี้

เข้าใจค่ะ...และอยากให้บทความนั้นมันบ่งบอกได้ว่า

ต่างศาสนา..แต่ไม่ต่างใจ(ของความเป็นมนุษย์)

ขอบคุณ คุณจริยามาก ๆ นะครับที่สนใจ

ผมจะย้ายบันทึกนี้ไปอีกบล็อคหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อลิ้งค์หรือเปล่า ถ้าลิงค์ไม่ไปช่วยเปลี่ยนใหม่ด้วยนะครับ

บันทึกเกี่ยวกับพ่อนิพจน์ ผมจะปรับปรุงใหม่นะครับ

ขอบคุณบทความจากอาจารย์ที่เล่าเรื่องราวการดำเนินชีวิตของคุณเบิ้มที่ทำให้เชื่อมั่นบนหนทางที่เราเลือก แม้จะมีสิ่งทดสอบมากมายบนวิถีทางเดิน โดยเฉพาะเสียงจากญาติมิตรผู้ห่วงใยที่มักทำให้เราไขว้เขวบนหนทางหลายๆ ครั้ง...แต่ "ความซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง" ที่อาจารย์บอก ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นว่า "ความมั่นคงภายนอกหรือจะสู้ความมั่นคงภายในได้"...ขอให้ความมั่นคงภายในของคุณเบิ้มนำไปสู่การสร้างอิสระภาพใหม่ในความฝันและจินตนาการให้เป็นจริงในเร็ววันนะคะ..ด้วยมิตรภาพ..

สวัสดีครับ คุณ ฟ้ากว้าง ทางไกล

ขอบคุณที่แวะมาอ่านเรื่องราวของเบิ้มนะครับ
จริง ๆ แล้วเรื่องราวของ "เบิ้ม" มีเยอะกว่านี้มากครับ นี่เป็นเพียงมุมเล็ก ๆ ที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
อยากเผยแพร่เรื่องราวของคนแบบนี้ครับ คนแบบที่หายากขึ้นทุกวัน อย่างน้อยพฤติปฏิบัติก็ช่วยเตือนสติเราหนะครับ... 

บางครั้งเราคิดว่าการได้ย่างกรายเข้าไปในชีวิตใครซักคนหนึ่ง สมองข้างหนึ่งเรามักคิดว่า เรารู้จักเขาดี แต่เมื่อเราได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างที่คอยกระตุ้นเตือนให้สมองอีกข้างบอกเราว่า เพียงเสี้ยงหนึ่งเท่ายนั้นที่เรารู้จักเขา ผมได้ร่วมงานกับคุณเบิ้มได้ไม่นานที ทีท่าที่อ่อนโยนแฝงมิตรภาพ ผิดแผกจากหน้าตาและรูปร่างทะมึกถึกเสียเหลือเกิน ในการเข้าใจคนบางครั้งเราก็ใช้เวลามาก กว่าจะเข้าใจใคร แต่ผมใช้เวลาเพียงพริบตา ก้เขาใจลักษระและหัวใจของผู้ชายร่างใหญ่คนนี้ได้

บางครั้งเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาอาจเป็นบททดสอบที่ร้ายเหลือจนบางครั้งกดหลังให้เข่าสัมผัสกับพื้นดินเบื้องหน้า แต่ผมเชื่อว่าในยามที่แราเรียกแรง กำลังกลับคืนจะยืนได้มั่นคงดังเช่นเดิม การเดินทางรออยู่ข้างหน้า หนทางแห่งสายนทีพัฒนาไม่มีทางแคบและเหือดแห้งในหัวใจของผู้ที่มีสัญญาใจกับตัวเองว่า เราคือผู้เปิดประตูแห่งประชาสังคม

โยนยกหัวจิต กลิ้งไกล

เสียสมดุลข้างใน บ้างท้อ

สุริยนต์ ทาทาบ แสงร้อน พออิ่ม

เดินคลุก คลืบคลาน ขอสู้ โสใจ

สวัสดีครับ คุณนักฝัน ทุ่งอักษร

เมื่อวานนี้นั่งคุยกับเบิ้ม พากันอ่านความเห็นนี้ แล้วก็เดาว่าใครกันนะ "นักฝัน ทุ่งอักษร"

นี้คือคำนิยามเบิ้ม ที่ผมชอบมากครับ

ท่าที่อ่อนโยนแฝงมิตรภาพ ผิดแผกจากหน้าตาและรูปร่างทะมึกถึกเสียเหลือเกิน

เสียดายจังเลยพี่หนานเกียรติ

ผมพบคุณเบิ้ม เมื่อวันที่ 31 พย 2558

หลังจากที่พี่หนานเกียรติจากไปนานแล้ว




พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท