บันทึกหลังเลนส์ของลูกๆ ภาคย้อนรอยอดีต


การถ่ายรูปคือการหยุดเวลาแห่งความประทับใจไว้กับเราไปตลอด การถ่ายรูปเป็นการหยุดเหตุการณ์สำคัญๆที่ควรค่าแก่การจดจำไปไว้ตลอด

วันนี้วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๔ เริ่มต้นเขียนบันทึกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปเกือบ ๑ ปีจากบันทึกฉบับล่าสุดใน gotoknow

ลูกๆทั้งสองเพิ่งจะเขียนบันทึกการไปเข้าแค้มป์ถ่ายภาพกับซีเอ็ดและเพื่อนๆหลายคนก็ได้เข้าไปอ่านและให้กำลังใจกับทั้งสองคน ผมขอขอบคุณอีกครั้งแทนเด็กๆนะครับ

บันทึกที่ผมตั้งใจจะเขียนในวันนี้ขอตั้งชื่อว่า “เบื้องหลังเลนส์ของลูกๆ” อยากเขียนเล่าความคิดและความเห็นเกี่ยวกับรูปถ่ายต่างๆที่ลูกๆได้ไปถ่ายมา ทั้งที่คัดไปประกวดในแค้มป์กิจกรรมและทั้งที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว

เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง เวลาทำงานของมันโดยเที่ยงตรงเสมอ มีแต่เราเท่านั้นที่ชอบอยู่เฉยๆ ชอบอู้ ชอบสาย และก็มาบ่นว่า “ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจัง” “ยังไม่ทันได้ทำโน้นนี่เลย” “โอ๊ย ! สายแล้วเหรอนี่”

แทบทุกคนคงอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงที่มีความสุขและความรักล่ะก็ไม่อยากให้เวลาเค้าทำงานเลย ในทางกลับกันช่วงที่มีความทุกข์ก็อยากจะเร่งวันคืนให้ผ่านไปเร็วๆ จะได้พ้นจากความทุกข์ ความเศร้า ต่างๆ

การถ่ายรูปคือการหยุดเวลาแห่งความประทับใจไว้กับเราไปตลอด การถ่ายรูปเป็นการหยุดเหตุการณ์สำคัญๆที่ควรค่าแก่การจดจำไปไว้ตลอด รูปภาพต่างๆที่เราถ่ายเก็บเอาไว้ พวกเค้าจะถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ณ.เวลานั้นให้เราสามารถย้อนกลับมานึกถึงได้ตลอดเวลา ทั้งความสุข ความทุกข์ ความประทับใจ ความเศร้า ซึ่งเป็นเรื่องราวในชีวิตของตัวเราที่ไม่อาจหนีพ้นไปได้

เมื่อผมเริ่มถ่ายรูปใหม่ๆ ก็คงเหมือนกับหลายๆคน ที่มักจะถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ที่ตัวเองรู้สึกว่าสวยงาม แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะไม่มีจุดหมายปลายทางอะไรเป็นพิเศษ เน้นเรื่องเทคนิคมากกว่าเรื่องราว จนเมื่อมีโอกาสไปเรียนถ่ายภาพอย่างจริงจังเมื่อตอนเรียนอยู่ประเทศอังกฤษและกำลังจะกลับบ้านก็เลยถือโอกาสเรียนอะไรตามใจตัวเองบ้าง แม้จะเป็นการเรียนเพียงช่วงสั้นๆแค่ 3 เดือนแต่ก็ช่วยให้ผมได้รับรู้ว่าการถ่ายภาพมันเป็นการถ่ายทอดเรื่องราว ภาพทุกภาพพูดและเล่าเรื่องราวได้ในตัวเค้าเอง ผมเริ่มต้นการเรียนถ่ายภาพด้วยการยืมกล้อง SLR และเลนส์ 50 mm ของนิคอน ของเพื่อนไปเรียนตั้งแต่วันแรกที่เรียนจนเรียนจบ

วันแรกที่เข้าเรียนคุณครูก็ให้ออกไปถ่ายรูปโดยไม่ได้บอกอะไรเลย มีแต่แนะนำว่าให้ซื้อหาอุปกรณ์อะไรมาเตรียมไว้บ้างเช่น ฟิล์มขาวดำ และกระดาษอัดรูปดำขนาด A4 เพราะผมต้องเรียนรู้การล้างฟิล์มและการอัดขยายรูปด้วย ตอนบ่ายก็ได้เวลาออกไปเดินถ่ายรูป ก็ถ่ายไปเรื่อยๆไม่มีเป้าหมาย เห็นอะไรน่าสนใจก็ถ่าย ถ่ายๆๆๆๆๆๆ จนหมดฟิล์มหมดไปหนึ่งม้วนก็คิดว่าพอแล้ว รุ่งเช้าไปพบครูที่สอน เค้าก็สอนวิธีล้างฟิล์มและได้รู้ว่าความมืดมิดแบบ 100% นั้นเป็นเช่นไร ผมต้องเตรียมอุปกรณ์พวก กรรไกร และกระป๋องใส่ฟิล์มที่จะต้องนำออกมาจากกลักฟิล์มเพื่อนำมาล้าง ให้เรียบร้อย จำตำแหน่งที่วางของต่างๆให้แม่นๆ หลังจากนั้นก็เข้าไปอยู่ในห้องที่มืดสนิทจริงๆ เพื่อที่จะเอาฟิล์มออกมาจากกลักและใส่ลงไปในกระป๋อง ขั้นตอนนี้ห้ามโดนแสงโดยเด็ดขาดเหมือนกับที่เราๆเรียนรู้มาว่าเวลาใส่ฟิล์มในกล้องถ่ายรูปแล้วห้ามเปิดฝาหลังเพราะภาพที่ถ่ายจะเสียหมดนั่นแหละครับ หลังจากเติมน้ำยาล้างและเขย่าๆไปเขย่ามาตามสูตรการล้างแล้ว เราก็จะได้ฟิล์มเนคกาทีฟ ออกมาเพื่อจะนำไปอัดขยายแล้ว ถึงตรงนี้ความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นผลงานตัวเองในระดับเริ่มต้นก็นึกว่าเรามาถูกทางแล้วที่เลือกเรียนถ่ายรูป พอผมนำฟิล์มไปอัดเป็นแถวๆตามขนาดเนคกาทีฟ (ถ้าจำไม่ผิดจะเรียกว่า contact sheet) เพื่อนำไปปรึกษาครูว่าจะเลือกภาพไหนไปขยาย ปรากฏว่า คุณครูถามผมว่า “ถ่ายอะไรมา?” ผมก็ตอบว่า “ถ่ายไปเรื่อยๆ” จบข่าวเลยครับ เพราะคุณครูบอกว่าสิ่งแรกที่เราต้องทำก่อนถ่ายภาพคือ “เรื่องราวที่เราต้องการถ่ายทอดออกมา” แต่ฟิล์มม้วนแรกของผมมันมีแต่ความสะเปะสะปะไปหมด ไม่มีเรื่องราวอะไรเลย ไม่มีภาพที่เล่าเรื่องได้เลย สรุปว่าวันแรกของการเรียนรู้ของผม โดนไปเต็มๆ ครับ

เย็นนั้นผมก็ได้แต่นั่งนึกว่าจะให้ภาพของเราบอกเล่าเรื่องราวอะไร คิดยังไงก็คิดไม่ออก เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคิดไม่ออก เดินไปบนท้องถนนแบกเป้ไว้ที่ไหล่ที่คอก็คล้องกล้องเอาไว้ เดินไปเรื่อยๆ ใช้สมองคิดไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพนักท่องเที่ยวเดินไปมาสมองก็เลยสั่งงานทันทีเลยว่า “นักท่องเที่ยว” คือโจทย์ของเรา เมื่อได้โจทย์แล้วก็ต้องมาหาคำตอบกันต่อ แล้วเราจะทำยังไงล่ะภาพที่ถ่ายมาถึงจะบอกเรื่องราวของนักท่องเที่ยวได้ หลังจากที่คิดได้ซักพักก็บอกกับตัวเองว่า เราก็ต้องสมมุติว่าตัวเราเป็นนักท่องเที่ยวไง เมื่อเราเป็นนักท่องเที่ยวแล้วเราก็จะมีมุมมองของนักท่องเที่ยวออกมา ภาพที่เราถ่ายก็น่าจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวของนักท่องเที่ยวคนหนึ่งได้ คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจสวมบทบาทนักท่องเที่ยวตระเวนไปทั่วกรุงลอนดอน ไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน ก็ได้รูปออกมาสมความตั้งใจ ทั้งแบบที่เล่าเรื่องราวของนักท่องเที่ยวและแบบที่แสดงมุมมองของผมเองลงไปไว้ในรูปด้วย โจทย์ข้อนี้ข้อเดียวถ่ายจนจบหลักสูตรระยะสั้นที่เรียนอยู่เลย บางวันเดินทางทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ผลุบๆโผล่ๆ ระหว่างรถไฟใต้ดินและถนนหนทางที่เต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว สวมแจ็กเก็ทกันหนาวตัวหนัก แบกเป้ คล้องกล้อง เดินตระเวนไปทั่วทั้ง พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ Trafalgar Square , British Musuem , London Bridge , Big Ben , ตลาดนัด Covent Garden , ตลาดนัด Portabello Road ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากหนังเรื่อง Notting Hill ที่มี Julie Robert  และ Hugh Grant เป็นดารานำแสดง ตลาดนัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องเป็นแหล่งซื้อขายของ Antique บางวันก็เดินเล่นหาเรื่องราวในสวนสาธารณะที่มีกระจายหลายพื้นที่ในลอนดอน ทั้ง Hyde Park สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอนมีมุมสำหรับนักพูดที่ให้ผู้คนได้ขึ้นไประบายความอึดอัดในใจในเรื่องต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องราวของการเมือง อันเป็นที่มาของคำศัพท์ การพูดไฮด์ปาร์ค หรือ Hyde Park Corner บางวันหมดฟิล์มไปเป็นโหล แต่เมื่อนำไปล้างออกมาดู ไม่มีรูปที่ใช้ได้เลยในส่วนของเรื่องราว นึกแล้วก็อิจฉาเด็กสมัยนี้ที่ถ่ายปุ้ปดูปั้ป ไม่ดีถ่ายใหม่ได้ทันที แต่แบบเราในสมัยก่อนก็มีข้อดีตรงที่เราต้องวางแผนทุกอย่างก่อนทำงานและทุกอย่างต้องอยู่ในหัวสมองน้อยๆตลอดเวลา ทั้งหมดเป็นการฝึกฝนให้ผมต้องวางแผนการทำงานอยู่ตลอดและมันก็มาเห็นผลในปัจจุบันนี้ในการทำงานของผมเอง

พูดถึงการวางแผนการทำงาน บางคนอาจจะคิดว่าการถ่ายรูปไม่เห็นต้องมีการวางแผนอะไรเลย ตราบเท่าที่เรามีกล้องอยู่ในมือ เราก็พร้อมที่จะมีรูปได้ตลอดเวลา ใครคิดแบบนี้ผมคงต้องบอกว่าคุณกำลังคิดผิดแบบมหันต์เลยทีเดียว ผมมีเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เค้าเลือกที่จะถ่ายรูปกีฬา ทั้งม้าแข่งประเภทต่างๆ ยูโด ฟุตบอล และอื่นๆอีกมากมายตามประเภทกีฬา พวกเค้าต้องศึกษากฎกติกาของกีฬาชนิดนั้นอย่างถ่องแท้ ต้องเข้าใจว่าอะไรคือความสนุก อะไรคือสิ่งสำคัญ อะไรคือไคลแมกซ์ของกีฬาแต่ละประเภท และต้องวางแผนจัดการตัวเองให้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอย่างถูกที่ถูกเวลาเสมอ ถ้าอยากจะได้ภาพดีๆออกมาบอกเล่าเรื่องราวให้คนได้รับรู้ ยกตัวอย่างเช่น ภาพกีฬาฟุตบอล ไคลแมกซ์ของกีฬาชนิดนี้ก็คือการยิงประตูต่างๆที่พวกเราได้เห็นอยู่เสมอตามหน้าข่าวกีฬา แต่ทุกภาพที่ถูกนำมาเสนอนั้นช่างภาพเหล่านั้นต้องศึกษามาอย่างดีแล้วว่านักฟุตบอลในสนามคนไหนมีเอกลักษณ์อย่างไร กองหน้าคนนี้ถนัดเท้าไหน และพวกเค้าก็ต้องจัดการวางแผนเรื่องของมุมกล้องและอีกสารพัดอย่างให้พร้อมเสมอ ผมอยากให้ทุกคนลองคิดดูนะครับว่า การยิงประตูเกิดขึ้นในช่วงเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง เรานั่งดูทีวีอยู่กับบ้านบางครั้งเรายังพลาดไปเลยต้องคอยดูภาพฉายซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นผมอยากจะบอกว่าทุกอย่างไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ ทุกอย่างเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้น    

ทุกครั้งที่เลือกรูปกับคุณครูและนำภาพที่เลือกแล้วไปอัดขยายออกมานั้น บางครั้งต้องทำการอัดขยายรูปกันเป็นโหลๆ กว่าจะได้รูปที่ดีหนึ่งรูป ต้องอยู่ในห้องอัดภาพที่เรียกว่า DARK ROOM (แต่ไม่มืดจริงๆ หรอก มีแสงสีแดงๆ ให้เราทำงานได้) กันครั้งละ 2-3 ชั่วโมง คุณครูมักจะพูดอยู่เสมอว่า “ให้ใช้ความรู้สึกมองภาพ อย่าใช้ตามองภาพ (use your feeling do not use your eyes)“ มันจะทำให้ภาพนั้นๆเล่าเรื่องราวอย่างที่เราต้องการได้เต็มที่กว่า บางครั้งรูปที่อัดออกมานั้นมีความใกล้เคียงกันมากถ้าเราดูด้วยตาแต่เมื่อเอาความรู้สึกมาวัดจะมีความต่างกันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แดดตอนเช้าและตอนเย็นมีความต่างกันในความรู้สึกที่ชัดเจนมากๆ ในความรู้สึกของผมแดดตอนเช้าจะอบอุ่นและมีพลังภาพที่ถ่ายตอนเช้าจะแสดงออกมายังงั้น แต่แดดตอนเย็นจะนิ่มนวล ละมุนละไม รู้สึกถึงความผ่อนคลายมากกว่าที่ผมได้นำมาวิธีการนี้มาปรับใช้กับการทำงานของผมในปัจจุบันด้วยจนบางครั้งตัวผมเองก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีเหตุผล   

และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากการเรียนถ่ายภาพในครั้งนั้นคือ การเป็นตัวของตัวเอง ทุกคนต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ผมยังจำคำพูดของคุณครูอีกท่านหนึ่งที่ผมขอให้ท่านสอนเรื่องการจัดแสงถ่ายภาพในสตูดิโอ คุณครูพูดว่า “ไม่สอนให้หรอก แต่จะเตรียมอุปกรณ์อะไรให้แล้วผมต้องไปจัดการต่อเอาเองนะ เพราะถ้าคุณครูสอนผมผมก็จะได้เทคนิคแบบครูและภาพที่ออกมาก็จะไม่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของผมเอง” คุณครูพูดจบผมก็อึ้ง ทึ้ง อยู่ชั่วครู่ ก็เดินไปจัดแสงต่างๆด้วยตัวเองและลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ตรงนี้สำคัญมากๆในการทำงานของผมในปัจจุบัน ผมได้นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการทำงานตลอด ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ ผมไม่เคยกังวลที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ทำแล้วไม่ดีก็ทิ้งไป ใช้ได้ก็นำมาปรับปรุงต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตมีแต่การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น บางครั้งผมก็อยากสอนงานให้คนอื่นบ้างแต่ผมสอนไม่เป็น เพราะผมเรียนรู้มาในแบบของผมเองมาตลอด

ผมคงต้องขอจบบันทึกหลังเลนส์ของลูกๆ ภาคย้อนรอยอดีต ไว้ตรงนี้ก่อน แล้วคอยติดตามภาครูปของลูกต่อในบันทึกฉบับหน้านะครับ

สวัสดีครับ  

ภาพข้างล่างนี้คือตัวอย่างผลงานบางชิ้นของผมครับ

                  

นี้แหละ contact sheet ที่เราต้องอัดออกมาเพื่อนำมาคัดภาพภาพที่ล้อมกรอบสีเขียวคือภาพที่น่าสนใจว่าจะนำมาอัดขยาย ผมชอบภาพที่เป็นเหมือนรถวิ่งเร็วๆ แต่ภาพนี้คุณครูบอกว่ามันไม่ชัดเนื่องจากไม่มีขาตั้งกล้อง ผมชอบมันเพราะผมสอดแทรกแนวคิดของผมลงไปว่าการไปนั่งรถแบบ sight seeing เป็นการดูอะไรที่ฉาบฉวยเปรียบเหมือนกับในภาพที่คุณจะไม่ค่อยได้เห็นอะไร

                   

ดังนั้นด้านหลังแผ่น contact sheet คุณครูก็เลยได้สอนเทคนิคและแนะนำให้ไปซื้อขาตั้งกล้องยี่ห้อ Manfroto มาใช้และผมก็ต้องหมดเงินไปกับขาตั้งกล้องอีกราว 2-3000 บาทเป็นค่าขาตั้งกล้อง

                

contact sheet และคำแนะนำของคุณครูที่จะเขียนไว้ด้านหลังตลอด

               

สองภาพบนนี้คือ test print ที่ต้องทำก่อนทุกครั้งก่อนอัดขยายจริง จะสังเกตุว่ามีแถบๆเป็นระดับความเข้มของโทนสีซึ่งคือการปล่อยแสงให้ผ่านฟิล์มลงไปยังกระดาษอัดรูป ยิ่งปล่อยแสงนานภาพจะยิ่งเข้ม เราก็จะดูจาก test print นี้ว่าเราควรจะเลือกแถบไหนเป็นตัวเริ่มต้น

ทั้ง 3 ภาพนี้ถ่ายที่ตลาดนัด covent garden ผมต้องถ่ายในระยะใกล้มากเลยเพราะไม่มีเลนส์ซูม และคุณครูก็บอกว่าไม่จำเป็น นักถ่ายภาพที่ดีต้องกล้าที่จะถ่าย

ภาพนี้ถ่ายที่ตลาดนัด portabello road ตลาดนัดขายของเก่าโบราณที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก ความน่าสนใจของภาพนี้อยู่ที่หมวกของคนขายของซึ่งเหมือนกับหมวกของบรรดาเหล่าตุ๊กตาโบราณที่เค้านั่งรอลูกค้ามาเลือกซื้ออยู่

นี้เป็นด้านหลังภาพคนขายของที่ตลาดนัด portabello road ซึ่งผมจะบันทึกรายละเอียดว่าผมทำยังไง ผมปล่อยแสงทั้งภาพ 20 วินาทีและปล่อยแสงเฉพาะพื้นที่รูปตัวแอลด้านบนซ้ายเพิ่มอีก 5 วินาทีเพื่อจะทำให้เพิ่มรายละเอียดที่ขาดหายไปเนื่องจากแสงแดดที่สว่างด้านหลัง

ภาพนี้ถ่ายในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ ภาพนี้ผมชอบมากเพราะมันได้อารมณ์และเรื่องราวของหุ่นขี้ผึ้งมากเลย แต่ภาพนี้หินมากตอนอัดขยาย ผมต้องอัดถึง 7 แผ่นกว่าจะได้รูปนี้ออกมา รูปนี้เป็นแผ่นที่ 8

และนี้คือเหตุผลทำไมผมถึงบอกว่าภาพนี้หินมาก มีรายละเอียดที่ต้องเติมแต่งมากมายเลยครับและมันเป็นบริเวณที่เล็กมากด้วยโดยเฉพาะปกคอเสื้อของคนแก่ที่นั่งหลับอยู่ (ถามว่าคนแก่นั้นคนหรือหุ่น??)

 

หมายเลขบันทึก: 436525เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2011 22:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:41 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

มาเยี่ยมชมผลงานค่ะ  ครูอ้อย  มีกล้องเป็นเพื่อน  ไม่ใช่ เพื่อนร่วมงาน ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

  • แง เสียดายจัง
  • ไม่ทราบว่ามาเกษตร
  • มีบล็อกเกอร์อยู่ที่นี่ด้วยคนนี้
  • http://www.gotoknow.org/blog/samart9/459472
  • สนใจเรื่องโรงเรียนสาธิตติดต่อที่นี่นะครับ
  • http://158.108.203.13/satit/
  • สาธิต มอ.ก็น่าเรียนนะครับ
  • ผมเองไม่อยากให้เด็กน้อยมาอยู่ไกลจากพ่อและแม่ครับ

หายไปนานอีกแล้ว สบายดีไหมครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท