“ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน: ปัญญาวิถีสู่ความดี ความงาม ความสุข”[1] นำพาให้กัลยาณมิตรหลายท่านทราบจุดร่วมที่ผู้เขียนทั้งสอง(คุณนายดอกเตอร์ และ ศิลา ภูชยา) มีความปรารถนาที่จะจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาจิตให้เป็นงานศิลปะแห่งการมองโลกภายในแล้ว ในบันทึกนี้ ผู้เขียนร่วมขอนำเสนอแรงบันดาลใจและก้าวต่อไปที่จะนำไปสู่ “เรือนธรรม(ะ)ชาติ ริมน้ำป่าสัก” ดังนี้
ถอดบทเรียนตัวเอง “คุณนายดอกเตอร์”
แรงบันดาลใจ....สร้างสุขให้ตนเองเป็น จึงแบ่งปันสุขให้ผู้อื่นได้
จากจุดที่เรามาพบกัน ได้ร่วมงานกัน ได้เติมเต็มกันในมิติ ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน อันเป็นวิถีแห่งปัญญานี้ หากเรามองย้อนกลับไปในกาลเวลา ผู้เขียนได้เดินทางมายาวไกลจากจุดเปลี่ยนผ่าน เดิมเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานอย่างตั้งใจ เต็มที่กับงาน คิดว่าทำดีที่สุด เหน็ดเหนื่อยและมีความทุกข์ ความเครียด แต่คิดว่า เป็นเรื่องปกติ สะสมทุกข์จากงานโดยไม่รู้ตัว เพราะทำด้วยอัตตา มานะ แถมภายหลังชีวิตส่วนตัวก็มีทุกข์หนักเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันมาก่อน เกิดการสั่นคลอนความเชื่อ ความมั่นใจในตัวเองว่า “ฉันเป็นคนเก่ง มีความรู้ มีปัญญาจัดการทุกอย่างได้”
เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม เมื่อเกิดความทุกข์ที่สำหรับตนเองคิดว่าหนักหนาสาหัส ได้มีกัลยาณมิตรชวนให้เข้าสู่เส้นทางธรรม พบการเจริญสัมมาสติ การมีสัมมาสมาธิ ที่ทำให้ตระหนักถึง ความจริงอันเป็นสัจธรรมของสรรพสิ่ง ทำให้สามารถเข้าใจความเป็นไปตามหลักการแห่ง เหตุ-ปัจจัย จึงปล่อยวางความทุกข์เป็นในระดับหนึ่ง
นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เห็นความสำคัญของการกลับมามองโลกภายใน และเพียรปฏิบัติการรู้ตัว มีสติบ่อยๆ พบว่ามีความสุขง่ายขึ้น มีความสุขบ่อยขึ้น เมื่อย้อนกลับไปมองชีวิตทำงานที่ผ่านมาจึงเห็นชัดว่า ตนได้ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างอย่างไรด้วยการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอัตตาว่าตนเก่งและดี นี่แหละคนที่ไร้สุข ก็จะแผ่รังสีทุกข์ให้คนรอบข้างได้โดยที่ตนนั้นไม่รู้ตัว การได้ตระหนักรู้เช่นนี้ยังทำให้เมตตาและให้อภัยคนที่ทำให้เราไม่พอใจหรือโกรธ ได้ง่ายขึ้นด้วย
เมื่อตนเองมีความสุขจากภายใน ความสงบเย็น ความเมตตา กรุณาจะก่อเกิดอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณศิลา ได้มองเห็นการใช้ ศาสตร์นพลักษณ์ โดยที่คุณศิลาได้สอดแทรกเรื่องของธรรมและสติอย่างงดงาม และตนเองได้นำประสบการณ์การชีวิตทั้งส่วนตัวและการทำงานมาเทียบเคียงรู้สึกประทับใจ เห็นว่าเป็นคุณูปการในการนำมาใช้ในกระบวนการการจัดการความรู้
สิ่งดีๆที่ได้สัมผัสนี้จึงทำให้อยากช่วย คนทำงาน ให้ทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ ใช่ และ ดีแน่นอน อย่างน้อยการได้ทำตัวเป็น สะพานบุญ หรือเพียงเป็นผู้ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนเป็นเรื่องที่ไม่ยาก และเมื่อสามารถทำได้มากกว่านั้น จึงเป็นโอกาสให้ได้ร่วมพลังกัน ไปทำสิ่งดีๆที่เบิกบานใจ ไปสร้างบุญกุศลด้วยกัน สะพานก็จะแข็งแกร่งและทอดยาว ลดเลี้ยวไปทุกหนแห่งอย่างไร้พรมแดน
ถอดบทเรียนตัวเอง “ศิลา ภู ชยา”
แรงบันดาลใจ… มองเห็นต้นทาง จึงอยากสร้างแรงบันดาลใจ
ผู้เขียนศึกษาเรื่องนพลักษณ์มาสิบกว่าปีจากพระอาจารย์สันติกโร สมัยที่ท่านยังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ในช่วงที่ศึกษาเรื่องนี้ผู้เขียนก็สูญเสียบิดาและมารดาผู้เป็นที่รักยิ่งได้ไม่ถึงปี ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ จึงได้อาศัยความทุกข์ที่มีศึกษาดูภายในตัวเองไปพร้อม ๆ กับการศึกษานพลักษณ์ที่เรียนรู้จากพระอาจารย์ ในช่วงแรก ๆ เข้าใจว่าคนเรามีความเหมือนและความแตกต่างกัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้จริง แต่นั่นกลับไม่สำคัญที่เราจะย้อนกลับมาดูภายในของตนเองและเห็น “ความจริง”
ในวันสุดท้ายของการอบรมนพลักษณ์ชั้นสูงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พระอาจารย์สันติกโรได้มอบย่ามผ้าฝ้ายสีขาวให้หนึ่งใบ วาดเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีตัวเลข ๓ ตัวในแต่ละมุม ซึ่งผู้เขียนทราบดีว่าไม่ใช่การใบ้หวย ท่านบอกสั้น ๆ ว่าเป็นแนวทางการพัฒนาให้เกิดความสมดุลย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะถือว่าเป็นปริศนาธรรมสำหรับผู้เขียนก็ย่อมได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้เขียนเข้าใจคำตอบแล้วจากการปฏิบัติตน ซึ่งการเข้าใจไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติถึงขั้นบรรลุแล้ว แต่เป็นความเข้าใจบนพื้นฐานของการเห็นต้นทางและอยากบอกต่อ ดังที่ผู้เขียนเขียนไว้ใน การจัดการความไม่รู้ผ่านการมองเห็นธรรมชาติ[2] และรู้ตัวเพื่อการพัฒนาจิต หยุดคิดเพื่อรู้[3] และอย่างที่ผู้เขียนมักจะกล่าวไว้ในหลาย ๆ เวทีก็คือว่ากระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาจิตนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนรู้ดีกว่าผู้มาร่วมเรียนรู้ เพียงแต่รู้มาก่อนและถือว่าทุกคนคือครูที่จะมาแบ่งปันร่วมกัน เป็นกระจกส่องให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ร่วมกัน ผู้เข้าร่วมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จึงมีความสำคัญที่จะกลายเป็นปัญญาวิถีที่นำไปสู่ความดี ความงาม ความสุขร่วมกันได้
มีครู ผู้อบรมโดยใช้ศาสตร์นพลักษณ์มากมายหลายท่าน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ศาสตร์นี้แพร่หลายกว้างขวาง สำหรับวิธีการนำเสนอนพลักษณ์ของผู้เขียน จะนำเสนอโดยเน้นการสร้างบรรยากาศการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และใช้ศิลปะในการบูรณาการศาสตร์ทุกศาสตร์เพื่อนำไปสู่การมองเห็นโลกภายใน ซึ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ให้กับทุกท่าน
บทสรุปจากประสบการณ์ของเราทั้งสองที่ได้มาร่วมส่งเสริมการใช้ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน
ความมุ่งมั่นและความฝัน...ของสะพานบุญ
ประสบการณ์และบทเรียนต่างๆที่ผ่านมา ยิ่งทำให้อยากช่วย คนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำงานที่จะต้องไปทำงานสัมพันธ์กับผู้คนอีกมากให้ทำงานอย่างมีความสุข สร้างพลังทวีคูณ หมุนเกลียวความรู้ ให้สังคมและประเทศชาติพัฒนาไปอย่างมีสติ มีความยั่งยืน แบบวัดด้วย Gross National Happiness
การเป็นนักวิชาการอิสระแต่ด้วยวัยที่มากขึ้น ทำให้ต้องปรับตัว หาวิธีการที่จะทำงานอย่างมีชีวิตสงบเย็น เป็นประโยชน์ โดยไม่ต้องเดินทางมาก และใช้ ทุน ที่ตัวเองมีอยู่ ทั้ง
ทุน เหล่านี้ทำให้คิดถึงการใช้ บ้าน เป็นเรือนธรรม(ะ)ชาติ ให้เป็นแหล่งที่ได้ชักชวนผู้คนให้มาฝึกหัดการใช้ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มุ่งเอาผลกำไรเป็นที่ตั้ง แต่จะนำวิทยากรทั้งหลายมาร่วมสร้างบุญ และ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม มาสร้างสุข มาร่วมแบ่งปัน และรับพลังเหมือนได้มาพักผ่อน ล้างพิษทางกายและใจกันด้วยธรรม(ะ)ชาติ เป็นการรดน้ำ ให้สารอาหารแก่เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่มีอยู่ในทุกคนให้งอกงาม ผลิบานอย่างแข็งแรงแต่อ่อนโยน เมื่อกลับไปทำงานก็สร้างสุขให้ตนเป็น คือ สร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นนั่นเอง.
เป็นบันทึกที่ละเอียด่อน เเละเข้มเเข็งจากภายใน ในเวลาเดียวกันครับ บ้านอาจารย์นั้นเป็นสัปปายะที่น่าพักอาศัย รวมถึงมีพลังที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้มีพลังสร้างสรรค์ในเรื่องราวดีๆให้กับสังคม
ขอให้กำลังใจเเละขอร่วมเดินบนเส้นทางนี้ด้วยครับ
สวัสดียามสายๆค่ะคุณเอกจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ขอบคุณสำหรับกำลังใจและสัญญาใจที่จะมาร่วมทางกัน ว่าจะนำบันทึกนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแต่หมู่นี้ต้องช่วยคนข้างกายหลายอย่างซึ่งก็เป็นเรื่องดีๆเช่นกันเลยดูว่าเวลาตัวเองจะหายไปเยอะค่ะ
สวัสดี ครับ
เมื่อก่อนเพียงแค่ผ่านสายตา.. สัปปายะ
วันนี้ ..เข้าใจมากขึ้น จากบันทึกนี้
เข้าใจ..ความเบาสบาย ความเรียบง่ายของชีวิต ...และที่สำคัญ คือ การสร้างสะพานบุญ
จากทุนของชีวิต...ที่มี
ขอบพระคุณ มากครับ
..................................ด้วยหัวใจที่เบิกบาน..............................................
พี่ใหญ่ประทับใจมากๆกับวิถีชีวิตในแนวพุทธธรรม..นำใจให้เป็นสุขเช่นนี้ค่ะคุณนุช..เมื่อเราปลดแอกของอุปกิเลสออกจากบ่าได้เร็วที่สุดเมื่อใด...เมื่อนั้นคือความเบากายเบาใจแก่ตน..ทั้งยังเหลือช่องว่างไว้เผื่อแผ่สังคมได้อีกด้วยนะคะ..
ผลงานน้องๆระดับประถม รร.บ้านเสิงสาร จ.นครราชสีมา ในโครงการ "กล้าใหม่-ใฝ่รู้ ของธนาคารไทยยพาณิชย์ฯ
ล้างพิษทางกายและใจกันด้วยธรรม(ะ)ชาติ เป็นการรดน้ำ ให้สารอาหารแก่เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่มีอยู่ในทุกคนให้งอกงาม ผลิบานอย่างแข็งแรงแต่อ่อนโยน
สวัสดีค่ะพี่นุช
ขอบพระคุณที่กรุณาสรุป...แนะนำให้ทราบว่า
สุขใดไหนจะเท่า....รู้เท่าทันศาสตร์และศิลป์ ของการทบทวนสร้างความสุขจากโลกภายใน
หนทางนำโภคสมบัติ..ไปสู่ทิพยสมบัติค่ะ
ปีใหม่ไทย.....
ขอส่งความสุขมายังพี่นุช.....ด้วยบทเพลงของหลวงวิจิตรวาทการ ค่ะ
"ให้สุขใจเยือกเย็น เหมือนดังน้ำในคงคา
ให้สุขกายสุขตา เหมือนดังดวงจันทร์วันเพ็ญ
ให้สดชื่น ดังดอกไม้ เมื่อยามน้ำค้างพร่างพรม
ให้ทรัพย์สินอุดม และได้รับแต่ความร่มเย็น"
ให้พี่นุชไปยืนเป็นธงนำทางก่อน.....แล้วจะค่อยๆๆเดินตามทางไปนะคะ
^________^
ขอบคุณแสงแห่งความดี ค่ะ ธรรมะส่องให้เห็นหนทาง ธรรมชาติเป็นผู้กล่อมเกลาให้เบิกบานในการใช้ชีวิต ยินดีที่เส้นทางนี้มีกัลยาณมิตรมากมายค่ะ
ขอบคุณค่ะ พี่ใหญ่ นาง นงนาท สนธิสุวรรณที่เมตตามาเติมต็ม
ภาพของน้องๆมีสีสันสดใสและมีองค์ประกอบที่มีชีวิตชีวามากค่ะ
ขอบคุณค่ะคุณบุษรา ระลึกถึงเช่นเดียวกันค่ะ มาทีไรมีภาพอะไรเก๋ๆมาฝากเสมอ
ขอบคุณค่ะ คุณศิลาSila Phu-Chaya งานที่ฝัน ทำคนเดียวไม่ได้ค่ะ ไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวใครเขาจะว่าเชียร์กันเองน่าดู ^_____^
คุณดากานดา น้ำมันมะพร้าวช่างสรรหาภาพดอกไม้งามๆมาฝากกัน ขอบคุณสำหรับคำอวยพรด้วยค่ะ คนอยู่เชียงใหม่รวยธรรมชาติและวัฒนธรรมจริงๆ คิดถึงทั้งคนและเมืองค่ะ
ขอบคุณค่ะ คุณแจ๋ว
บทเพลงของหลวงวิจิตรวาทการ คำอวยพรดีมากเลยค่ะ พี่เพิ่งเคยเห็น คุณแจ๋วช่างค้นคว้าหามาฝากนะคะ (เหมือนภาพแม่โพสพหลังเหรียญบาทที่ส่งไปให้พี่ดู พี่ก็ไม่เคยเห็นค่ะ)
"ให้สุขใจเยือกเย็น เหมือนดังน้ำในคงคา
ให้สุขกายสุขตา เหมือนดังดวงจันทร์วันเพ็ญ
ให้สดชื่น ดังดอกไม้ เมื่อยามน้ำค้างพร่างพรม
ให้ทรัพย์สินอุดม และได้รับแต่ความร่มเย็น"
ขอบคุณค่ะอาจารย์เอื้องแซะ คนงาม สงกรานต์เมืองเหนือคงเย็นฉ่ำชื่นใจคลายร้อน ระลึกถึงความเย็นใจจากอาจารย์เมื่อยามเราได้พบกันเสมอค่ะ
สบายดีค่ะอาจารย์ลำดวน ขอบคุณค่ะ
ได้ร่วมงานเบิกบานจิตกับคุณศิลา ทำให้สิ่งที่ตัวเองคิดและทำชัดเจนขึ้นและเป็นไปได้มากขึ้นในการที่จะแบ่งปัน
ÄÄ....Goodmorning ,I,m going to your Sapanbun...( my com can not thai now ..sorry).....yaitee
ป่านนี้คุณยายธี เย็นสบายอยู่เยอรมันแล้ว ทางเมืองไทยวันสุดท้ายแห่งวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ร้อนเหลือประมาณค่ะ
แต่วันนี้ก็ได้ทำบุญ แบ่งบุญมาให้คุณยายธีด้วยค่ะ
ด้วยรักและเคารพอย่างสูง
น้องแหวว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ธรรมดา
น้องแหววพชรวรัตถ์ แสงทองชนาพงศ์น้องอ้อยและทีมงานโรงพยาบาลบ้านแพรกก็เป็นการสร้างเหตุให้เราได้ทำบุญกุศลด้วยกันค่ะ พี่ก็รู้สึกว่าโชคดีที่โอกาสในการทำบุญทำกุศลสะสมเสบียงของพี่นั้นทำได้ง่ายจริงๆ ไม่ต้องเที่ยวเดินทางไปไหนไกลๆ
น้องแหวว ตัวเล็กๆแต่ไม่ธรรมดาสักหน่อย ^___^
คุ้งน้ำโค้งคุ้นตา ริมป่าสักสงบแสน
ธารานภาแดน ระยิบระยับวับแวมวาว
วิหคโผผกผิน เหมือนเคยถิ่นหว่างฟ้าหาว
เรือนธรรม(ะ)ชาติราว เชื้อเชิญชนชมชื่นเชย...