ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน:เรือนธรรม(ะ)ชาติ ริมน้ำป่าสัก


 “ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน: ปัญญาวิถีสู่ความดี ความงาม ความสุข”[1]  นำพาให้กัลยาณมิตรหลายท่านทราบจุดร่วมที่ผู้เขียนทั้งสอง(คุณนายดอกเตอร์ และ ศิลา ภูชยา) มีความปรารถนาที่จะจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาจิตให้เป็นงานศิลปะแห่งการมองโลกภายในแล้ว ในบันทึกนี้ ผู้เขียนร่วมขอนำเสนอแรงบันดาลใจและก้าวต่อไปที่จะนำไปสู่ “เรือนธรรม(ะ)ชาติ ริมน้ำป่าสัก” ดังนี้ 

 

ถอดบทเรียนตัวเอง “คุณนายดอกเตอร์”

แรงบันดาลใจ....สร้างสุขให้ตนเองเป็น จึงแบ่งปันสุขให้ผู้อื่นได้

จากจุดที่เรามาพบกัน ได้ร่วมงานกัน ได้เติมเต็มกันในมิติ ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน อันเป็นวิถีแห่งปัญญานี้ หากเรามองย้อนกลับไปในกาลเวลา ผู้เขียนได้เดินทางมายาวไกลจากจุดเปลี่ยนผ่าน เดิมเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานอย่างตั้งใจ เต็มที่กับงาน คิดว่าทำดีที่สุด เหน็ดเหนื่อยและมีความทุกข์ ความเครียด แต่คิดว่า เป็นเรื่องปกติ สะสมทุกข์จากงานโดยไม่รู้ตัว เพราะทำด้วยอัตตา มานะ แถมภายหลังชีวิตส่วนตัวก็มีทุกข์หนักเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันมาก่อน เกิดการสั่นคลอนความเชื่อ ความมั่นใจในตัวเองว่า “ฉันเป็นคนเก่ง มีความรู้ มีปัญญาจัดการทุกอย่างได้”

 

เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม เมื่อเกิดความทุกข์ที่สำหรับตนเองคิดว่าหนักหนาสาหัส ได้มีกัลยาณมิตรชวนให้เข้าสู่เส้นทางธรรม พบการเจริญสัมมาสติ การมีสัมมาสมาธิ ที่ทำให้ตระหนักถึง ความจริงอันเป็นสัจธรรมของสรรพสิ่ง ทำให้สามารถเข้าใจความเป็นไปตามหลักการแห่ง เหตุ-ปัจจัย จึงปล่อยวางความทุกข์เป็นในระดับหนึ่ง

 

นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เห็นความสำคัญของการกลับมามองโลกภายใน และเพียรปฏิบัติการรู้ตัว มีสติบ่อยๆ พบว่ามีความสุขง่ายขึ้น มีความสุขบ่อยขึ้น เมื่อย้อนกลับไปมองชีวิตทำงานที่ผ่านมาจึงเห็นชัดว่า ตนได้ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างอย่างไรด้วยการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยอัตตาว่าตนเก่งและดี นี่แหละคนที่ไร้สุข ก็จะแผ่รังสีทุกข์ให้คนรอบข้างได้โดยที่ตนนั้นไม่รู้ตัว การได้ตระหนักรู้เช่นนี้ยังทำให้เมตตาและให้อภัยคนที่ทำให้เราไม่พอใจหรือโกรธ ได้ง่ายขึ้นด้วย

 

เมื่อตนเองมีความสุขจากภายใน ความสงบเย็น ความเมตตา กรุณาจะก่อเกิดอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย

เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณศิลา ได้มองเห็นการใช้ ศาสตร์นพลักษณ์ โดยที่คุณศิลาได้สอดแทรกเรื่องของธรรมและสติอย่างงดงาม และตนเองได้นำประสบการณ์การชีวิตทั้งส่วนตัวและการทำงานมาเทียบเคียงรู้สึกประทับใจ เห็นว่าเป็นคุณูปการในการนำมาใช้ในกระบวนการการจัดการความรู้

 

สิ่งดีๆที่ได้สัมผัสนี้จึงทำให้อยากช่วย คนทำงาน ให้ทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ ใช่ และ ดีแน่นอน อย่างน้อยการได้ทำตัวเป็น สะพานบุญ หรือเพียงเป็นผู้ให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนเป็นเรื่องที่ไม่ยาก และเมื่อสามารถทำได้มากกว่านั้น จึงเป็นโอกาสให้ได้ร่วมพลังกัน ไปทำสิ่งดีๆที่เบิกบานใจ ไปสร้างบุญกุศลด้วยกัน  สะพานก็จะแข็งแกร่งและทอดยาว ลดเลี้ยวไปทุกหนแห่งอย่างไร้พรมแดน

 

ถอดบทเรียนตัวเอง “ศิลา ภู ชยา”

แรงบันดาลใจ… มองเห็นต้นทาง จึงอยากสร้างแรงบันดาลใจ

ผู้เขียนศึกษาเรื่องนพลักษณ์มาสิบกว่าปีจากพระอาจารย์สันติกโร สมัยที่ท่านยังบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ในช่วงที่ศึกษาเรื่องนี้ผู้เขียนก็สูญเสียบิดาและมารดาผู้เป็นที่รักยิ่งได้ไม่ถึงปี ความทุกข์ก็ยังมีอยู่ จึงได้อาศัยความทุกข์ที่มีศึกษาดูภายในตัวเองไปพร้อม ๆ กับการศึกษานพลักษณ์ที่เรียนรู้จากพระอาจารย์  ในช่วงแรก ๆ เข้าใจว่าคนเรามีความเหมือนและความแตกต่างกัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้จริง แต่นั่นกลับไม่สำคัญที่เราจะย้อนกลับมาดูภายในของตนเองและเห็น “ความจริง”

 

ในวันสุดท้ายของการอบรมนพลักษณ์ชั้นสูงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พระอาจารย์สันติกโรได้มอบย่ามผ้าฝ้ายสีขาวให้หนึ่งใบ วาดเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีตัวเลข ๓ ตัวในแต่ละมุม ซึ่งผู้เขียนทราบดีว่าไม่ใช่การใบ้หวย ท่านบอกสั้น ๆ ว่าเป็นแนวทางการพัฒนาให้เกิดความสมดุลย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะถือว่าเป็นปริศนาธรรมสำหรับผู้เขียนก็ย่อมได้

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้เขียนเข้าใจคำตอบแล้วจากการปฏิบัติตน ซึ่งการเข้าใจไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติถึงขั้นบรรลุแล้ว แต่เป็นความเข้าใจบนพื้นฐานของการเห็นต้นทางและอยากบอกต่อ ดังที่ผู้เขียนเขียนไว้ใน การจัดการความไม่รู้ผ่านการมองเห็นธรรมชาติ[2]  และรู้ตัวเพื่อการพัฒนาจิต หยุดคิดเพื่อรู้[3]  และอย่างที่ผู้เขียนมักจะกล่าวไว้ในหลาย ๆ เวทีก็คือว่ากระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาจิตนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนรู้ดีกว่าผู้มาร่วมเรียนรู้ เพียงแต่รู้มาก่อนและถือว่าทุกคนคือครูที่จะมาแบ่งปันร่วมกัน เป็นกระจกส่องให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ร่วมกัน ผู้เข้าร่วมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จึงมีความสำคัญที่จะกลายเป็นปัญญาวิถีที่นำไปสู่ความดี ความงาม ความสุขร่วมกันได้

 

มีครู ผู้อบรมโดยใช้ศาสตร์นพลักษณ์มากมายหลายท่าน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ศาสตร์นี้แพร่หลายกว้างขวาง  สำหรับวิธีการนำเสนอนพลักษณ์ของผู้เขียน จะนำเสนอโดยเน้นการสร้างบรรยากาศการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และใช้ศิลปะในการบูรณาการศาสตร์ทุกศาสตร์เพื่อนำไปสู่การมองเห็นโลกภายใน ซึ่งหวังว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ให้กับทุกท่าน

 

บทสรุปจากประสบการณ์ของเราทั้งสองที่ได้มาร่วมส่งเสริมการใช้ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน

  • การเริ่มต้นที่ตนเอง ประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้หันมาใฝ่การเรียนรู้ตนเองและเพียรสร้างสติ แม้ว่าจะมีเหตุผลที่ต่างกัน แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เราเป็นคนอย่างไรก็จะดึงดูดคนประเภทเดียวกันให้หมุนวนมาพบกัน
  • การเอาใจใส่พัฒนาตนจากภายในเสมอ การพบกันทุกครั้งกับผู้เขียน คุณศิลา และผู้ร่วมงานประหนึ่งเป็นการสนทนาธรรม ได้ขัดเกลาตนเอง พัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความสุขอย่างเรียบง่ายได้ สร้างสุขให้ตนเป็น จึงแบ่งปันสุขให้ผู้อื่นได้
  • การผนวกประสบการณ์ชีวิตกับศาสตร์หรือเครื่องมือการพัฒนาจากภายใน ทำให้สามารถทำงานกับคนได้หลากหลายวงการ การเรียนรู้ตนเอง การเรียนรู้ผู้อื่น และความสุขเป็นเรื่องสากล ไม่จำกัดว่ามีอาชีพอะไร
  • การทำงานคือการเรียนรู้ คือการได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ การเปิดหัวใจแบ่งปัน ด้วยความเมตตา ความพร้อมที่จะรับฟัง และเรียนรู้ไปด้วยกัน มิใช่ไปแบบผู้ที่รู้ดีกว่าไปสอน
  • เรียนรู้ตนเองจากศาสตร์นพลักษณ์ บวก การสร้างสุข แล้วต้องใช้ให้ได้ในชีวิตการทำงานและส่วนตัว ให้การทำงานและการใช้ชีวิตเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งสัมพันธ์กับการฝึกสติ หรือการรู้ระลึกตนเองกับปัจจุบันขณะ ฝึกการมีเมตตา การให้อภัยเป็น เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนเพื่อสันติสุขแห่งการอยู่ร่วมกัน
  • การจัดสรรเวลาของตนเองอย่างรู้ตัว ไม่บ้าบุญ จนงานประจำและชีวิตครอบครัวสับสนยุ่งเหยิงเป็นสิ่งสำคัญ การมีจิตที่คิดจะให้ อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งดี การพัฒนาด้านจิตวิญญาณเป็นศิลปะ เป็นความดี ความงาม เราต้องหาสมดุลของตนเองให้พบ
  • บริหารการสร้างสะพานบุญ และ แบ่งบุญ ให้โอกาสผู้คนมาสร้างบุญด้วยกัน แล้วพบว่ายิ่งเบิกบาน เพราะความสุขที่ลึกซึ้งเกิดจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข

 ความมุ่งมั่นและความฝัน...ของสะพานบุญ

ประสบการณ์และบทเรียนต่างๆที่ผ่านมา ยิ่งทำให้อยากช่วย คนทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำงานที่จะต้องไปทำงานสัมพันธ์กับผู้คนอีกมากให้ทำงานอย่างมีความสุข สร้างพลังทวีคูณ หมุนเกลียวความรู้ ให้สังคมและประเทศชาติพัฒนาไปอย่างมีสติ มีความยั่งยืน แบบวัดด้วย Gross National Happiness

การเป็นนักวิชาการอิสระแต่ด้วยวัยที่มากขึ้น ทำให้ต้องปรับตัว หาวิธีการที่จะทำงานอย่างมีชีวิตสงบเย็น เป็นประโยชน์ โดยไม่ต้องเดินทางมาก และใช้ ทุน ที่ตัวเองมีอยู่ ทั้ง

  • ทุนสถานที่บ้านที่อยู่อาศัยที่สัปปายะ สร้างด้วยหลักการแห่ง โอสถสถาปัตยกรรม อยู่ไม่ไกล เดินทางไปมาสะดวกพอควร(บ้านริมน้ำกับโอสถสถาปัตยกรรม)
  • ทุนสิ่งแวดล้อม ที่อาศัยอยู่ริมน้ำ ธรรมชาติสวยงาม สร้างความร่มเย็น เห็นการใช้ชีวิตร่วมกันของเหล่าพรรณไม้และสัตว์นานาชนิด
  • ทุนผู้คน และ ทุนวัฒนธรรม การดำรงชีวิตที่ออกแบบให้อยู่ได้อย่างไทย สุขสบายตามอัตภาพของตนอย่างเรียบง่าย มีแม่บ้านที่ทำอาหารอร่อยมาก อาหารล้วนเป็นแนวพื้นบ้าน แนวธรรมชาติ แนวทางกินอย่างมีสติ
  • ทุนทรัพย์ จากครอบครัวที่ได้จากสัมมาชีพพอเลี้ยงตนให้สุขสบายและแบ่งปันได้ตามโอกาสและความเหมาะสม

 

ทุน เหล่านี้ทำให้คิดถึงการใช้ บ้าน เป็นเรือนธรรม(ะ)ชาติ ให้เป็นแหล่งที่ได้ชักชวนผู้คนให้มาฝึกหัดการใช้ศิลปะแห่งการมองโลกภายใน เป็นกิจกรรมที่ไม่ได้มุ่งเอาผลกำไรเป็นที่ตั้ง แต่จะนำวิทยากรทั้งหลายมาร่วมสร้างบุญ และ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม มาสร้างสุข มาร่วมแบ่งปัน และรับพลังเหมือนได้มาพักผ่อน ล้างพิษทางกายและใจกันด้วยธรรม(ะ)ชาติ เป็นการรดน้ำ ให้สารอาหารแก่เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่มีอยู่ในทุกคนให้งอกงาม ผลิบานอย่างแข็งแรงแต่อ่อนโยน เมื่อกลับไปทำงานก็สร้างสุขให้ตนเป็น คือ สร้างโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นนั่นเอง.

 


[2] http://gotoknow.org/blog/emptymind/319880

[3] http://gotoknow.org/blog/sophiaenneagram/324332

หมายเลขบันทึก: 435046เขียนเมื่อ 12 เมษายน 2011 09:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:41 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)

เป็นบันทึกที่ละเอียด่อน เเละเข้มเเข็งจากภายใน ในเวลาเดียวกันครับ บ้านอาจารย์นั้นเป็นสัปปายะที่น่าพักอาศัย รวมถึงมีพลังที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้มีพลังสร้างสรรค์ในเรื่องราวดีๆให้กับสังคม

ขอให้กำลังใจเเละขอร่วมเดินบนเส้นทางนี้ด้วยครับ

สวัสดียามสายๆค่ะคุณเอกจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ขอบคุณสำหรับกำลังใจและสัญญาใจที่จะมาร่วมทางกัน ว่าจะนำบันทึกนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อวานแต่หมู่นี้ต้องช่วยคนข้างกายหลายอย่างซึ่งก็เป็นเรื่องดีๆเช่นกันเลยดูว่าเวลาตัวเองจะหายไปเยอะค่ะ

สวัสดี ครับ

เมื่อก่อนเพียงแค่ผ่านสายตา.. สัปปายะ

วันนี้ ..เข้าใจมากขึ้น จากบันทึกนี้

เข้าใจ..ความเบาสบาย ความเรียบง่ายของชีวิต ...และที่สำคัญ คือ การสร้างสะพานบุญ

จากทุนของชีวิต...ที่มี

ขอบพระคุณ มากครับ

..................................ด้วยหัวใจที่เบิกบาน..............................................

พี่ใหญ่ประทับใจมากๆกับวิถีชีวิตในแนวพุทธธรรม..นำใจให้เป็นสุขเช่นนี้ค่ะคุณนุช..เมื่อเราปลดแอกของอุปกิเลสออกจากบ่าได้เร็วที่สุดเมื่อใด...เมื่อนั้นคือความเบากายเบาใจแก่ตน..ทั้งยังเหลือช่องว่างไว้เผื่อแผ่สังคมได้อีกด้วยนะคะ..

                  

ผลงานน้องๆระดับประถม รร.บ้านเสิงสาร จ.นครราชสีมา ในโครงการ "กล้าใหม่-ใฝ่รู้ ของธนาคารไทยยพาณิชย์ฯ

 

  • สวัสดีค่ะ
  • มีความสุขกับวันสงกรานต์ และ ทุก ๆ  วันนะค่ะ
  • ด้วยความระลึกถึงค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

                                     

  • ขอบพระคุณมากค่ะที่เกื้อกูลให้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแห่งปัญญาวิถีและทำให้อุดมคติกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้
  • เรือนธรร (มะ) ชาติ ของพี่นุช เป็นที่สัปปายะมากค่ะ ..."อาหาร" รสชาติดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ "อากาศ" ปลอดโปร่งโล่งสบาย  ส่งผลให้ "อารมณ์" ถึงพร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ร่วมกันค่ะ 

 

 ล้างพิษทางกายและใจกันด้วยธรรม(ะ)ชาติ เป็นการรดน้ำ ให้สารอาหารแก่เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามที่มีอยู่ในทุกคนให้งอกงาม ผลิบานอย่างแข็งแรงแต่อ่อนโยน

สวัสดีค่ะพี่นุช

ขอบพระคุณที่กรุณาสรุป...แนะนำให้ทราบว่า

สุขใดไหนจะเท่า....รู้เท่าทันศาสตร์และศิลป์ ของการทบทวนสร้างความสุขจากโลกภายใน

หนทางนำโภคสมบัติ..ไปสู่ทิพยสมบัติค่ะ

ปีใหม่ไทย.....

ขอส่งความสุขมายังพี่นุช.....ด้วยบทเพลงของหลวงวิจิตรวาทการ ค่ะ

"ให้สุขใจเยือกเย็น เหมือนดังน้ำในคงคา

ให้สุขกายสุขตา เหมือนดังดวงจันทร์วันเพ็ญ

ให้สดชื่น ดังดอกไม้ เมื่อยามน้ำค้างพร่างพรม

ให้ทรัพย์สินอุดม และได้รับแต่ความร่มเย็น"

ให้พี่นุชไปยืนเป็นธงนำทางก่อน.....แล้วจะค่อยๆๆเดินตามทางไปนะคะ

^________^

  • สวัสดีค่ะดร.ยุวนุช
  •  มาร่วมสัมผัสบันทึกที่มีคุณค่า
  • การรู้ตัว (มีสติ) ทำให้ก้าวเดินบนถนนชีวิตอย่างปลอดภัยนะคะ
  • ขอให้ผลที่ได้สร้างสะพานบุญ ดลบันดาลให้คุณนุชประสบแต่ความสุข สงบร่มเย็น
  • เหมือนสายน้ำ ธรรม(ะ)ชาติ ข้างบ้านนะคะ

ขอบคุณแสงแห่งความดี ค่ะ ธรรมะส่องให้เห็นหนทาง ธรรมชาติเป็นผู้กล่อมเกลาให้เบิกบานในการใช้ชีวิต ยินดีที่เส้นทางนี้มีกัลยาณมิตรมากมายค่ะ

ขอบคุณค่ะ พี่ใหญ่ นาง นงนาท สนธิสุวรรณที่เมตตามาเติมต็ม

ภาพของน้องๆมีสีสันสดใสและมีองค์ประกอบที่มีชีวิตชีวามากค่ะ

ขอบคุณค่ะคุณบุษรา ระลึกถึงเช่นเดียวกันค่ะ มาทีไรมีภาพอะไรเก๋ๆมาฝากเสมอ

ขอบคุณค่ะ คุณศิลาSila Phu-Chaya งานที่ฝัน ทำคนเดียวไม่ได้ค่ะ ไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวใครเขาจะว่าเชียร์กันเองน่าดู ^_____^

คุณดากานดา น้ำมันมะพร้าวช่างสรรหาภาพดอกไม้งามๆมาฝากกัน ขอบคุณสำหรับคำอวยพรด้วยค่ะ คนอยู่เชียงใหม่รวยธรรมชาติและวัฒนธรรมจริงๆ คิดถึงทั้งคนและเมืองค่ะ

  • สวัสดีค่ะ
  • อ่านแล้วเหมือนได้ถอดบทเรียน และเรียนรู้วิการ วิธีคิดค่ะ
  • สบายดีนะคะ

ขอบคุณค่ะ คุณแจ๋ว 

บทเพลงของหลวงวิจิตรวาทการ  คำอวยพรดีมากเลยค่ะ พี่เพิ่งเคยเห็น คุณแจ๋วช่างค้นคว้าหามาฝากนะคะ (เหมือนภาพแม่โพสพหลังเหรียญบาทที่ส่งไปให้พี่ดู พี่ก็ไม่เคยเห็นค่ะ)

"ให้สุขใจเยือกเย็น เหมือนดังน้ำในคงคา

ให้สุขกายสุขตา เหมือนดังดวงจันทร์วันเพ็ญ

ให้สดชื่น ดังดอกไม้ เมื่อยามน้ำค้างพร่างพรม

ให้ทรัพย์สินอุดม และได้รับแต่ความร่มเย็น"

 

ขอบคุณค่ะอาจารย์เอื้องแซะ คนงาม สงกรานต์เมืองเหนือคงเย็นฉ่ำชื่นใจคลายร้อน ระลึกถึงความเย็นใจจากอาจารย์เมื่อยามเราได้พบกันเสมอค่ะ

สบายดีค่ะอาจารย์ลำดวน ขอบคุณค่ะ

ได้ร่วมงานเบิกบานจิตกับคุณศิลา ทำให้สิ่งที่ตัวเองคิดและทำชัดเจนขึ้นและเป็นไปได้มากขึ้นในการที่จะแบ่งปัน

ÄÄ....Goodmorning ,I,m going to your Sapanbun...( my com can not thai now ..sorry).....yaitee

ป่านนี้คุณยายธี เย็นสบายอยู่เยอรมันแล้ว ทางเมืองไทยวันสุดท้ายแห่งวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ร้อนเหลือประมาณค่ะ

แต่วันนี้ก็ได้ทำบุญ แบ่งบุญมาให้คุณยายธีด้วยค่ะ

ด้วยรักและเคารพอย่างสูง

  • พิมพ์สิ่งใดก็คงไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่มากมายของตนเองได้ค่ะ... หลักๆ คือรู้สึกว่าโชคดีที่มีโอกาสได้เรียนรู้ธรรม กับพี่นุช ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และในอนาคตที่จะถึง ด้วยจิตเมตตา มาเป็นวิทยากรร่วมกับคุณ ศิลา ให้กับพวกเราชาวบ้านแพรก (21 พฤษภา นี้)
  • อนุโมทนาบุญ กับทั้งสองท่านและเครือข่าย ร่วมด้วยการขอเป็นส่วนหนึ่งของผู้ร่วมเรียนรู้ธรรม ในช่วงของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ สุดแล้วแต่ต้นทุนบุญที่สั่งสมมานะคะ แต่ตั้งใจที่จะเพียรต่อไปค่ะ

น้องแหวว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ธรรมดา

น้องแหววพชรวรัตถ์ แสงทองชนาพงศ์น้องอ้อยและทีมงานโรงพยาบาลบ้านแพรกก็เป็นการสร้างเหตุให้เราได้ทำบุญกุศลด้วยกันค่ะ พี่ก็รู้สึกว่าโชคดีที่โอกาสในการทำบุญทำกุศลสะสมเสบียงของพี่นั้นทำได้ง่ายจริงๆ ไม่ต้องเที่ยวเดินทางไปไหนไกลๆ

น้องแหวว ตัวเล็กๆแต่ไม่ธรรมดาสักหน่อย ^___^

คุ้งน้ำโค้งคุ้นตา     ริมป่าสักสงบแสน

ธารานภาแดน       ระยิบระยับวับแวมวาว

 

วิหคโผผกผิน       เหมือนเคยถิ่นหว่างฟ้าหาว

เรือนธรรม(ะ)ชาติราว  เชื้อเชิญชนชมชื่นเชย...

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท