สร้างชาติให้ก้าวหน้า ด้วยการอ่าน
ความรู้จากหนังสือสามารถถ่ายทองมาสู่มนุษย์ได้ผ่าน “ การอ่าน ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่านในวัยเด็กที่จะสร้างความรู้ ความทรงจำ และนิสัยการอ่านให้ติดตัวบุคคลผู้นั้นมาจนเติบใหญ่ เมื่อหนังสือเป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้การปลูกฝังให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่าน จึงอาจเป็นดั่งปฐมบทแห่งการสร้างความก้าวหน้าให้กับประเทศชาติด้วยเช่นกัน
คนไทยอ่านอะไรกัน ?
เป็นที่กล่าวขานกันมานานถึงสถิติการ “ อ่านน้อย ” ของคนไทย บ้างก็ว่า 5 บรรทัดต่อปี 12 บรรทัดต่อปี แต่สถิติเกี่ยวกับการใช้เวลาอ่านหนังสือของคนไทยที่สมาคมธุรกิจสำนักพิมพ์และหนังสือเล่มได้คาดการณ์ไว้ในเอกสารธุรกิจสำนักพิมพ์และหนังสือเล่มในประเทศไทย พ.ศ. 2550 คือ คนไทยใช้เวลาอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 2 เล่ม แม้ธุรกิจหนังสือจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีหนังสือออกใหม่เข้าสู่ร้านหนังสือไม่ต่ำกว่า 900 เรื่องต่อเดือนก็ตาม
ข้อมูลพฤติกรรมการอ่านหนังสือจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สำรวจไว้ล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2546 ชวนให้ดีใจว่า การอ่านของคนไทยในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 และในจำนวนผู้อ่านหนังสือนี้พบว่า กลุ่มวัยเด็กอ่านหนังสือมากที่สุดถึงร้อยละ 87.7 รองลงมาเป็นกลุ่มวัยรุ่นร้อยละ 83.1 โดยการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการที่ได้สำรวจการอ่านของนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเมื่อปี พ.ศ. 2549 โดยเฉลี่ยพบว่าเด็ก ๆ อ่านหนังสือรวม 360 บรรทัดต่อวันต่อคน หรือ 17 หน้าต่อวันต่อคน หรือ 9 เล่มต่อเดือนต่อคน และยืมหนังสือห้องสมุดเฉลี่ย 7 ครั้งต่อเดือนต่อคน ซึ่งมากกว่าอัตราการอ่านของคนไทยโดยรวมอยู่มาก
หากแต่ความแตกต่างระหว่างสถิติการอ่านของ “เด็กวัยเรียน” กับ “คนไทยโดยรวม” อาจเพียงเป็นภาพสะท้อนของ “ ปริมาณ” มิใช่ “คุณภาพ” เนื่องเพราะการอ่านที่มีมากในเด็กวัยเรียน เป็นเพียงการอ่าน “ ไฟท์บังคับ ” เพื่อการเรียนและการสอบ แต่มิได้มาจากนิสัยรักการอ่านเมื่อพวกเขาเติบโตพ้นวัยเรียน การอ่านหนังสือจึงพ้นไปจากความสนใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน ส่งผลให้อัตราการอ่านหนังสือโดยรวมของประชากรทั้งประเทศมีน้อยกว่าอัตราการอ่านหนังสือของประชากรวัยเรียน
อีกทั้งข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังระบุว่า คนไทยนิยมอ่านหนังสือแนวบันเทิงคดีที่มีเนื้อหาไม่หนักเกินไปมากกว่าที่จะอ่านหนังสือความรู้วิชาการ หนังสือความรู้ทั่วไป เช่น สารคดี ปรัชญา ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยหนังสือที่คนไทยอ่านมากที่สุดคือหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 46.3 รองลงมาคือหนังสือบันเทิงร้อยละ 23.8 ซึ่งหมายถึง การ์ตูนและนวนิยาย ถึงร้อยละ 44.6 ของหมวดหนังสือบันเทิงทั้งหมด นอกนั้นก็เป็นหนังสือแฟชั่น ดารา ฯลฯ
ผลักดันการอ่านสู่ “วาระแห่งชาติ”
เห็นข้อมูลเช่นนี้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเด็กไทยและคนไทยอ่านแต่สิ่งเบาสมอง เพราะการที่ผู้คนนิยมอ่านหนังสือเพื่อความบันเทิงเป็นจำนวนมาก ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น หนังสือเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ “ การ์ตูน ” ถือเป็นหนังสือยอดนิยมของคนญี่ปุ่น ( แทบ ) ทุกวัยมีการประมาณว่า ในแต่ละปีชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศใช้เงินกว่า 5 แสนล้านเยนไปกับการซื้อหนังสือการ์ตูน
การ์ตูน หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า มังงะ คิดเป็นร้อยละ 40 ของตลาดสิ่งพิมพ์ทั้งหมดของญี่ปุ่น และยังบุกไปตีตลาดในอีกหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยเองก็ได้ชื่อว่าเป็นสาวกการ์ตูนญี่ปุ่นเช่นกัน
บทความเรื่อง Japan’s Comic Book Graze ของอากิโกะ ฮาชิโมโต บอกว่าสื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นคือมังงะ เราสามารถพบเห็นคนญี่ปุ่นอ่านมังงะได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะรอรถไฟ อยู่บนรถโดยสาร ที่ร้านอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้อาการติดมังงะยังพบได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่วัยเลยเกษียณ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มังงะเป็นที่นิยมของผู้คนแทบจะทั่วโลกก็เพราะมังงะมีอยู่ถึง 281 ประเภท สามารถตอบสนองผู้อ่านได้ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นแนวรักหวานแหวว ไปจนถึงเรตเอ็กซ์ แนวครอบครัว การต่อสู้ กีฬา อาหาร การพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ สยองขวัญ วิทยาศาสตร์ แฟนตาซี ฯลฯ
การอ่านการ์ตูนหรือมังงะ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนญี่ปุ่นมีแรงบันดาลใจและจินตนาการ จนสามารถนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าและเป็นผู้นำการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้ ว่ากันว่าในกรณีของญี่ปุ่นระดับการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการกีฬา ล้วนมีรากฐานมาจากมังงะนั่นเอง...หาเป็นเช่นนั้น ความนิยมอ่านการ์ตูนของคนไทยโดยเฉพาะในกลุ่มวัยเด็กและวัยรุ่น อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงมากนัก ถ้าผู้อ่านรู้จักวิธีดึงประโยชน์จากหนังสือบันเทิงหรือการ์ตูนเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกทาง...แต่สิ่งที่น่าห่วงสำหรับเด็กไทยคือ การไม่รู้จักเลือกประเภทการ์ตูนที่ควรอ่าน หรือถ้าเป็นหนังสือที่มีสาระ แม้จะเป็นการ์ตูนก็ยังไม่อ่าน
ดังนั้น หากเราต้องการปลูกฝังให้เยาวชนไทยมี “ ทักษะการอ่าน ” อันมีความหมายครอบคลุมตั้งแต่การรู้จักเลือกอ่านหนังสือที่มีคุณภาพ ความสามารถในการเก็บใจความและสรุปเนื้อหา รวมถึงความสามารถในการนำความรู้จากหนังสือไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ก็จำเป็นต้องหามาตรการและกลยุทธ์ที่จะส่งเสริมให้เด็ก ๆ สนุกกับการอ่านหนังสือ เกิดความต้องการอ่านหนังสือด้วยตนเอง มิใช่เพียงอ่านเพราะถูกบังคับหรืออ่านเพื่อสอบเท่านั้น ภายใต้แนวทางนี้ การผลักดันการอ่านให้เป็น “ วาระแห่งชาติ ” จึงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพราะการอ่านคือพื้นฐานของการสร้างคนและคนคือพื้นฐานของการสร้างชาติ
แม้แต่ OECD องค์กรเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ยังได้ทำวิจัยออกมาว่า การอ่านหนังสือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและประชาชนมีความสุข ผลการวิจัยของ OECD ล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 2003 ได้สำรวจประเทศไทยด้วยพบว่า เด็กไทยอายุ 15 ปีส่วนใหญ่มีผลทดสอบอยู่ที่ระดับ 2 ( จากทั้งหมด 5 ระดับ ) ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และยังมีเด็กไทยถึงร้อยละ 37 ที่มีผลทดสอบต่ำกว่าระดับ 1 การผลักดันการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อเสนอให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติเกิดขึ้นล่าสุดในงานเทศกาลหนังสือสำหรับเด็กและเยาวชนครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 25 – 29 กรกฎาคม 2550 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดย นางริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ( ส.พ.จ.ท. ) ร่วมกับ 32 องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาล ( พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ) เพื่อขอให้ผลักดันการอ่านหนังสือเป็นระเบียบวาระแห่งชาติของรัฐบาล โดยมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ การสร้างวัฒนธรรมการอ่านหนังสือและการผลักดันนโยบายของพรรคการเมืองหรือภาครัฐให้การอ่านหนังสือเป็นนโยบายในการบริหารประเทศเหมือนอย่างประเทศเกาหลีที่มีกฎหมายเรื่องการรักการอ่านและเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนได้รัฐบาลชุดใหม่มาเมื่อต้นปี พ.ศ. 2551 สมาคมฯ ก็เตรียมที่จะยื่นหนังสือผลักดันเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันอีกครั้ง
การผลักดันการอ่านเป็นวาระแห่งชาตินี้ได้รับการสนับสนุนจาก ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ดังที่ท่านเคยกล่าวว่า " ผมรู้สึกเป็นห่วงเรื่องการอ่านหนังสือของเด็กไทย เพราะจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ บอกไว้ว่า เด็กไทยอ่านหนังสือวันละไม่เกิน 8 บรรทัด ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวน่าจะทำให้รัฐบาล ผู้ปกครองหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกระตือรือร้นและประเมินว่าควรจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรผลักดันเรื่องการส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติด้วย และอยากเห็นคนไทย เด็กไทยถือหนังสืออ่านกันตามสถานที่ต่าง ๆ เหมือนกับประชาชนในประทศอื่นอีกด้วย "
อย่างไรก็ตาม การผลักดันการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติ มิใช่เรื่องที่จะรอให้รัฐบาลออกกฎระเบียบมาใช้แต่ฝ่ายเดียวหากต้องได้รับความร่วมมือ ร่วมคิด ร่วมทำจากทุกภาคส่วนในสังคมด้วย ดังที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ว่า “ ในส่วนของวาระแห่งชาตินั้น อยู่ที่พวกเราทุกคนว่าจะคิดและช่วยกันอย่างไร ทุกคนต้องมีส่วนร่วม แต่ทุกคนไม่ช่วยกันก็จะไม่เกิดประโยชน์ ”
ร่วมส่งเสริมการอ่าน
นิวยอร์กไทม์เคยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบมาเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบสอดคล้องกับสรีระมนุษย์ที่สุดในรอบ 1,000 ปี ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ที่มาเป็นอันดับ 1 ได้แก่ “ หนังสือ ” ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบสอดคล้องกับสรีระของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็มชีวิต และพามนุษย์ข้ามพรมแดนความรู้ ความรู้สึก เหตุผล ปัญญาและอารมณ์ ไปสู่สถานการณ์อันแปลกใหม่ด้วย นั่นหมายถึง หนังสือเป็นเครื่องมือที่ช่วยเปิดประสบการณ์ของเราให้กว้างขึ้นนั่นเอง...การส่งเสริมการอ่านหนังสือให้แพร่หลาย จึงเปรียบเสมือนการส่งเสริมให้ผู้คนมีประสบการณ์ความรู้ที่เพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสร้างความสะดวกสบายให้กับสรีระของเรามากขึ้นด้วย
การรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่านเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมสามารถทำร่วมกันได้ แต่คนที่สำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ เพราะการส่งเสริมการอ่านควรเริ่มแต่วัยเยาว์และต้องเริ่มต้นจากครอบครัวเป็นลำดับแรก พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก หากพ่อแม่ไม่สนใจอ่านหนังสือแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ลูกเชื่อว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่ควรทำ
นอกจากนี้ สถานศึกษาก็มีส่วนสำคัญในการสร้างเด็กให้เป็นคนรักการอ่าน ผ่านการจัดกิจกกรมส่งเสริมการอ่าน การจัดห้องสมุดให้น่าเข้า รวมถึงการบูรณาการความรู้จากหนังสือต่าง ๆ ที่เด็กชอบ เข้ากับวิชาเรียนแต่ละวิชาให้ได้ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกสนุกสนานกับการอ่านหนังสือ และเริ่มมองเป็นมุมมองที่หลากหลายจากหนังสือเล่มเดิมได้มากขึ้น
ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง การส่งเสริมการอ่านผ่านหนังสือการ์ตูน โดยสถานศึกษาอ้างอิงจากบทความเรื่อง Doraemon ของเอริ อิซาว่า ที่วิเคราะห์การ์ตูนคลาสสิกของญี่ปุ่นเรื่องโดราเอมอนที่โด่งดังมากกว่า 40 ปี ไว้ตอนหนึ่งว่า
“พ่อแม่ของโนบิตะเป็นเสมือนตัวแทนผู้ปกครองญี่ปุ่นยุค 1970 ที่มีพ่อบ้านเป็นมนุษย์เงินเดือน แม่มีงานบ้านทำล้นมือ โนบิตะเป็นเด็กขี้เกียจจึงถูกแม่บ่นบ่อย ๆ เพราะพ่อแม่ยุคนั้นต่างเชื่อว่าความขยันและการเรียนเก่งจะเป็นกุญแจไปสู่อนาคตที่สดใสของลูก ”
จากการวิเคราะห์ดังกล่าว ครูวิชาสังคม สามารถนำการ์ตูนเรื่องนี้มาเชื่อมโยงไปถึงการเปรียบเทียบวัฒนธรรมการเลี้ยงดูบุตรหลายของครอบครัวญี่ปุ่นและไทยในแต่ละยุคได้ ขณะที่ครูวิชาพุทธศาสนา ก็สามารถนำบทบาทของพ่อ แม่ ลูก ในการ์ตูน มาเทียบเคียงกับบทบาทของแต่ละคนตามหลักศาสนา ส่วนครูวิชาภาไทย อาจให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างประโยคและตัวสะกดจากหนังสือการ์ตูนว่าถูกหรือผิดอย่างไร รวมถึงครูสอนวาดเขียน ก็อาจนำภาพวาดของอาคารบ้านเรือนที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนมาเป็นเครื่องมือสอนให้นักเรียนเข้าใจถึงการสร้างมิติในภาพวาดได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนเป็นสำคัญว่าจะมีความสามารถในการมองเห็นความเชื่อมโยงจากเรื่องราวในหนังสือไปสู่การสร้างความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไร ในแง่หนึ่งก็หมายความว่า ครูควรต้องเป็นผู้มีประสบการณ์การอ่านหนังสือมากด้วยเช่นกัน
การส่งเสริมการอ่านหนังสือให้แพร่หลายจึงเปรียบเสมือนการส่งเสริมให้ผู้คนมีประสบการณ์ความรู้ที่เพิ่มขึ้นและมีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสร้างความสะดวกสบายให้กับสรีระของเรามากขึ้นด้วย
อีกหนึ่งภาคส่วนที่สำคัญที่จะช่วยให้การอ่านหนังสือกระจายไปถึงผู้คนในวงกว้างได้คือ ผู้ประกอบการธุรกิจหนังสือ ที่ควรร่วมมือกันกำหนดราคาหนังสือให้ถูกลง เพื่อให้คนไทยทุกระดับฐานะสามารถซื้อหนังสือไปอ่านได้อย่างทั่วถึง
สำหรับในส่วนของภาครัฐและภาคธุรกิจก็สามารถร่วมส่งเสริมได้โดยการจัดทำห้องสมุดประจำหมู่บ้านหรือชุมชนให้มากขึ้น จัดหาหนังสือดี ๆ ไปให้กับโรงเรียนและชุมชนต่าง ๆ ส่งเสริมการอ่านในโรงเรียน ฯลฯ
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของภาคธุรกิจในการส่งเสริมการอ่าน คือ โครงการของเครือ ซิเมนต์ไทย ( SCG ) ซึ่งมีโครงการเพื่อพัฒนาเยาวชนที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งเสริมการอ่านหนังสืออยู่หลายโครงการ อาทิ
เทศกาลนิทานในสวน : จัดกิจกรรมให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการเล่านิทานและอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
โครงการหนังสือเล่มแรก : มอบชุดถุงหนังสือเล่มแรก ประกอบด้วยตุ๊กตา คู่มือพ่อแม่ชอบหนังสือ หนังสือภาพสำหรับเด็กและคำแนะนำการใช้หนังสือกับลูกเล็กให้กับ 600 ครอบครัวทั่วไทย ซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการด้านภาษาและมิติสัมพันธ์สูงขึ้น
โครงการอบรมนักศึกษาสาธารณสุข เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย : จัดอบรมเชิงปฏิบัติการแก่นักศึกษาที่กำลังเรียนด้านการสาธารณสุขเพื่อผสมผสานองค์ความรู้ด้านสาธารณสุขเข้ากับความรู้ในการพัฒนาเด็กด้วยการใช้หนังสือ
และยังมีโครงการอื่น ๆ เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จัดอบรมนักประพันธ์และนักวาดภาพประกอบหนังสือเด็ก โครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือ ( พื้นที่ดอยตุง ) รวมถึงจัดทำโปสเตอร์วันหนังสือเด็กนานาชาติและวันหนังสือเด็กแห่งชาติทุกปี เพื่อรณรงค์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองชุมชนและสังคมรู้ถึงความสำคัญของการเล่านิทานอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
ขณะที่บริษัท ซี.พี. เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด ( มหาชน ) ก็มีโครงการส่งเสริมการอ่านอยู่หลายโครงการ หนึ่งในโครงการที่โดดเด่น คือ การร่วมมือกับหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ทำโครงการ โรงเรียนรักการอ่าน ขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 โดยมุ่งเน้นให้โรงเรียนมีการพัฒนาใน 6 ด้าน คือ 1. มีแผนงานโครงสร้างนิสัยรักการอ่านในโรงเรียน 2. มีกิจกกรมส่งเสริมการอ่านที่ได้ผลและต่อเนื่อง 3. มีองค์ประกอบแวดล้อมที่ช่วยให้เกิดการส่งเสริมการอ่าน 4. มีการพัฒนาห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ 5. บทบาทของบุคลากรในโรงเรียนเอื้อต่อการส่งเสริมการอ่านและ 6. มีความสำเร็จในการอ่านของนักเรียนให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเมื่อถึงเวลาประเมินผลหาโรงเรียนใดผ่านเกณฑ์ทั้ง 6 ตามที่กำหนดจะมีป้าย “โรงเรียนรักการอ่าน”มอบให้ติดไว้หน้าโรงเรียนด้วย
สำหรับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นอกจากการจัดทำหนังสือ แผ่นพับ โปสเตอร์ เสริมความรู้เรื่องปิโตรเลียมแล้วยังได้ช่วยส่งเสริมการอ่านด้วยการจัดทำหนังสือที่มีคุณค่าแทรกความรู้ ออกแจกจ่ายให้กับเด็ก เยาวชน และคนไทยได้อ่าน อาทิ หนังสือสอนลูกทำบุญ หนังสือสอนลูกรู้ค่าพลังงาน หนังสือรวมผลงานรางวับลูกโลกสีเขียว ฯลฯ อีกทั้งยังมีโครงการที่ส่งเสริมการอ่านของนักเรียนในโรงเรียนโดยตรง ไดแก่ โครงการจัดสร้างโรงเรียนและห้องสมุด “ พลังไทย เพื่อไทย ” พร้อมมอบอุปกรณ์การศึกษาและหนังสือเรียนสำหรับเยาวชนรวมถึงการจุดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยมอบให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนในเขตภูมิภาคอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และในปี พ.ศ. 2547 ได้ร่วมสนับสนุนโครงการโรงเรียนในฝัน ( Lab School ) โดยมุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนมีส่วนร่วมกำหนดเป้าหมายของโรงเรียนให้ฝันเป็นจริงซึ่งโรงเรียนในฝันของ ปตท. ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย การกำหนดกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานโครงการดังกล่าว จึงเริ่มต้นที่การจัดทำเวทีประชาคมเพื่อสำรวจและระดมความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ทุกฝ่าย ทั้งนี้เพื่อสรุปข้อมูลแนวทางและความคาดหวังของชุมชนต่อการพัฒนาโรงเรียน
หากทุกภาคส่วนในสังคมดำเนินการส่งเสริมการอ่านตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างจริงจัง อีกไม่นานเกินรอ สังคมไทยคงเต็มไปด้วยบุคลากรที่มีความรู้ พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติได้
ข้อคิดเพื่อให้ “การอ่าน...สร้างชาติ”
แม้ว่ามังงะ หรือการ์ตูน จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยให้ญี่ปุ่น “ สร้างชาติ ” ไปสู่ความก้าวหน้าได้แต่การอ่านการ์ตูนและหนังสือบันเทิงต่าง ๆ หรือแม้แต่หนังสือในหมวดอื่น ๆ ของคนไทย อาจไม่ได้นำไปสู่ปลายทางเดียวกัน ทั้งนี้เพราะ...แม้ว่าการ์ตูนจะเป็นหนังสือที่ผู้คนในกลุ่มผู้อ่านหนังสือนิยมอ่านมากที่สุด หากแต่คนอีกกว่าครึ่งประเทศก็ยังไม่สนใจการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทใดก็ตาม ขณะที่สาระซึ่งแฝงมาในหนังสือน่าสนุกอย่างการ์ตูน ผู้อ่านชาวไทยก็อาจเข้าไม่ถึงเพราะ “ ความอ่อนแอในวัฒนธรรมการอ่าน ” ที่ทำให้ผู้อ่านไม่มีทักษะ ไม่สามารถตีความ “ สาส์นแห่งความก้าวหน้า ” ที่แฝงอยู่ในหนังสือเหล่านั้นได้
ข้
อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจพบว่า คนไทยที่ไม่อ่านหนังสือมีถึง 22.4 ล้านคน หรือเกือบร้อยละ 40 โดยสาเหตุที่ไม่อ่านหนังสือก็เพราะหนังสือมีราคาแพงเกินไป เนื้อหาอ่านยาก เข้าใจยาก แต่ส่วนใหญ่จะตอบว่า ชอบดูทีวีและฟังวิทยุมากกว่า ทุกวันนี้เด็กไทยอายุ 13 – 18 ปี ดูโทรทัศน์ในวันธรรมดาเฉลี่ย 3.3 ชั่วโมง วันหยุด 4.9 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตเข้าแทนที่การหาข้อมูล ความรู้ และความสนุกจากการอ่านหนังสืออีกด้วย
สุชาติ สวัสดิ์ศรี เจ้าของรางวัลมากมายในแวดวงวรรณกรรม อธิบายความอ่อนแอในวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยไว้ว่า
“...จำนวนหนังสือเชิงคุณภาพกับจำนวนคนที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมันไมค่อยสัมพันธ์กัน คนไทยไม่ค่อยอ่านหนังสือมีคุณภาพหรืองานในเชิงความคิดทั้งหลาย อาจเป็นเพราะปรัชญาการรับรู้วิชาการของเรามันเสื่อมด้อยลง ระบบการศึกษาเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนที่มีโอกาสน้อยกว่าแต่กลับมีคุณภาพมากกว่า เช่นมีบันทึกสมัยก่อนของฮิวเมอริสต์ว่า ตั้งแต่ ชั้น ม.1 – ม. 8 ถ้าใครสอบตกวิชาภาษาไทย แม้ว่าจะเก่งภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ก็จะถูกปรับให้ตกหมดทุกวิชา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนมีโครงสร้างทางภาษาการรับรู้เรื่องการเขียนและการอ่านที่เข้มแข็งมาก...แต่จะโทษเด็กรุ่นนี้ก็ไม่ได้ ปัญหาของเรามันเริ่มต้นตรงปรัชญาการสอนแบบแยกส่วน ใครเรียนวิทยาศาสตร์ก็ดีกว่าอักษรศาสตร์ ไม่ได้มีปรัชญาการสอนแบบองค์รวมที่เข้มแข็ง ในขณะที่การอ่านยังไม่เข้มแข็ง สิ่งอื่น ๆ จึงเข้ามาได้ง่าย…”
ผศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสาธารณะเพื่อสังคมสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส. ) เคยกล่าวไว้ว่า
“...ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านหนังสือของเด็กไทยที่มีจำนวนน้อยลงเริ่มเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อมีการเข้ามาแทนที่ด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ตั้งแต่สื่อพื้นฐานอย่างวิทยุ โทรทัศน์ หรือล่าสุดอย่างอินเทอร์เน็ตและเกมออนไลน์...”
จากการวิจับพบว่า การเปิดรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กวัย 2-6 ปี จะส่งผลให้มีพัฒนาการของสมองที่ด้วยกว่าการอ่านหนังสือ เพราะเด็ก ๆ จะไม่มีการพัฒนาทักษะกระบวนการคิด จินตนาการ การวิเคราะห์ มีแต่การรับเพียงด้านเดียว ไม่มีความกระตือรือร้น และเปิดรับเรื่องที่รุนแรงได้ง่ายกว่าเด็กที่อ่านหนังสือ ดังนั้นการส่งเสริมให้เกิดการอ่านหนังสือโดยเฉพาะในวัยเด็ก จึงเป็นเรื่องจำเป็นไม่ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารจะพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม
ในช่วยปลายปี พ.ศ. 2551 นี้ เราคงจะได้ทราบกันว่า การอ่านหนังสือของคนไทยได้ก้าวไปในทางบวกหรือลบอย่างไร เพราะเมื่อวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดประชุมพิจารณาแบบสอบถามโครงการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากร พ.ศ. 2551 ขึ้น และมีแผนการจะเก็บรวบรวมข้อมูลภายในเดือน เมษายน–มิถุนายน พ.ศ.2551 นี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร การส่งเสริมให้ผู้คนรักการอ่านก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ดังที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียนเจ้าของฉายาสิงห์สนามหลวงกล่าวไว้ว่า
“ต้องเริ่มที่จิตวิญญาณและค่านิยมที่ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก อำนาจวรรณกรรมก่อให้เกิดความรู้และจินตนาการเหมือนอย่างที่ไอน์สไตน์พูดไว้ว่าอำนาจของคุณขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการอ่านที่ไม่ควรหยุดนิ่งอยู่กับที่ ”
คัดลอกบทความดีๆแบบนี้ จากเว็บ วิชาการ.คอม
www.vcharkarn.com/verticle/37011
รวมถึงการอ่าน...fecbook..ด้วยไหม
เราอ่านทุกวันเลย....