มือขวาถือความรัก
มือซ้ายถือความเมตตา
สายตาต้องเฝ้ามองดูรายละเอียดของทุกชีวิต
พนักงานเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ แม้ผู้บริหารจะมีกลยุทธ์ใดๆ เพื่อเพิ่มยอดขายที่ได้ผล แต่สุดท้ายแล้วธุรกิจจะเดินไปได้อย่างไรหากไม่มีพนักงานเป็นกำลัง
ผู้บริหารหลายท่านส่วนใหญ่มักจะหลงลืมในเรื่องนี้ไป จนกลายเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้องค์กรขาดคนดีมีฝีมือ หรือในบางครั้งก็มีการเข้าออกของพนักงานอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นปัญหาหลักขององค์กร
ดังนั้นการ “ความรัก” จึงเป็นสิ่งที่ใช้บริหารงานและบริหารคนที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยเหตุที่ว่าทุกคนต่างก็ได้รับความรักจากพ่อแม่ และยังต้องการความรักจากคนรอบข้าง จึงไม่ผิดแปลกอะไรหากเขาหรือเธอจะต้องการความรักความเมตตาจากผู้บังคับบัญชาเช่นเดียวกัน
ผู้บริหารควรทำอย่างไร?
หากมัวแต่คิดว่า ต้องใช้พนักงานให้คุ้มค่ากับราคาเงินจ้าง แล้วคุณไม่สร้างความพันธ์ที่ดีกับพนักงานเพียงเพราะความคิดที่ว่า “ฉันเป็นเจ้านาย และเธอก็เป็นเพียงลูกน้องของฉันเท่านั้น” ความคิดแบบนี้เองที่ทำให้คุณกำลังทำร้ายตัวเองและองค์กรที่คุณรักยิ่ง แต่ถ้าหากคุณใช้ความรัก ความเมตตา ดูแลทีมงานทุกชีวิตแบบพ่อแม่ดูแลลูก ใช้ความรักแทนคำสั่ง พูดคุยแก้ไขปัญหาดูแลความเป็นอยู่ (สวัสดิการ) ของทีมงานให้มากกว่าคำว่าพนักงาน ความรักที่พนักงานได้รับจากผู้บริหารจะเป็นการสลายพฤติกรรมการทำงานตามหน้าที่ ท้ายที่สุดผู้บริหารและองค์กรจะได้รับการทุ่มเทจากการทำงานด้วยใจที่ไม่ใช่แค่ทำตามหน้าที่จากพนักงานด้วยเช่นกัน
อย่าใช้กล้องวงจรปิดส่องดูความคิดไม่ดีของคน
อย่าใช้ลิงเก็บลูกสน แต่ใช้ไปขึ้นมะพร้าวแทน
ดูแล้วอาจผิดวัตถุประสงค์ไปสักหน่อย หากนำกล้องวงจรปิดมาติดผิดที่ผิดทาง นำไปติดในส่วนการทำงานจนทำให้พนักงานเกิดความรักสึกว่าตนเองเหมือนนักโทษที่ต้องมีคนคอยดูพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา การทำเช่นนี้จะสะท้อนความคิดของผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจที่ทำให้คนในองค์กรสัมผัสได้ว่า สถานที่แห่งนี้มีสิ่งของมีค่าอยู่มากมาย แต่ขาดของอยุ่เพียงสองสิ่ง ที่ไร้ค่าต่อสถานที่นี้นั้นคือ ความรัก และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดและมีบรรยากาศที่น่าเบื่อ ลองปรับมุมมองในทางกลับกันแล้วผู้บริหารจะพบว่าไม่มีกล้องวงจรปิดรุ่นไหนที่สามารถส่องดูความคิดไม่ดีที่อยู่ภายในใจของมนุษย์ได้เลย
และเป็นการผิดอย่างมหันต์หากใช้คนไม่ถูกกับความสามารถ มีตัวอย่างหลายรายกับเจ้านายที่ไม่มีความรักและมักจะวัดคุณค่าของพนักงานที่ผลงาน คือ ประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากพนักงานคนนั้น แต่หารู้ไม่ว่าการใช่คนไม่ถูกกับงาน แม้จะมีผลงานออกมาแต่ก็ออกมาอย่างทุลักทุเล ซึ่งหากผู้บริหารเข้าใจในความสามารถและรับคนให้เข้ามาทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม พนักงานได้ทำหน้าที่ตามที่ตนเองถนัด เกิดความขยันขันแข็งและมีความสุขและจะได้งานที่มีคุณภาพ ดังนั้นการเลือกพนักงานนอกจากจะเน้นที่การศึกษาแล้วยังต้องดูที่ความตั้งใจจะทำงาน ความถ่อมตนที่จะเรียนรู้งานก่อนดีกว่า เพราะแม้จะไม่เก่งมาตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้ทำงานที่ตนเองถนัดบวกกับความตั้งใจด้วยแล้ว องค์กรจะได้คนที่มีพัฒนาการ และได้ทั้งคนเก่งและคนดีในที่สุด
ความรักคือ แรงบันดาลใจที่แท้จริง
ผู้บริหารรู้หรือไม่ ว่าความต้องการที่แท้จริงของพนักงานในองค์กรนั้นคืออะไร
คนที่ตกงานนั้นไม่ได้ต้องการแค่งานทำ แต่ความต้องการที่แท้จริงคือ ความหวัง กำลังใจและแบบอย่างชีวิตของใครสักคนที่เขาสามารถเดินตามแนวทางนั้นไปสู่ความสำเร็จได้ จนเมื่อได้เข้ามาสู่การทำงาน จุดมุ่งหมายของพนักงานจึงไม่ได้ต้องการเพียงแค่เงินเดือน แต่เขาหรือเธอยังต้องการเรียนรู้และได้เห็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างเจ้านายด้วย
ดังนั้น ความรักจากเจ้านายที่มีให้พนักงานในแบบพ่อแม่มีให้กับลูกต่างหากคือ แรงบันดาลใจที่แท้จริงที่จะช่วยผลักดันให้พนักงานเป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในสายงานได้ในอนาคต
และในมุมของพนักงาน หากเจ้านายไม่สามารถเป็นแบบอย่างชีวิตให้กับเราได้ ในฐานะพนักงานควรใช้ความรักอยู่เหนือหน้าที่ด้วยการให้เกียรติและเคารพต่อเจ้านาย เพราะการทำดีเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความรักชนะทุกสิ่งและจะเป็นหนทางที่นำเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
ที่มา: "น่าน้ำแห่งความรัก (Principles of Love Ocean)" ผู้เขียน ประเสริฐ เพชรชื่นสกุล ดร.กิตติพันธ์ คงสวัสดิ์เกียรติ ดร.ชูเกียรติ ชัยบุญศรี และดร.รังสรรค์ สุกันทา สำนักพิมพ์ เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า ISBN: 9786165590105 (พิมพ์ครั้งที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553)
ไม่มีความเห็น