(๑)
เมื่อวาน (๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔)
ผมได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรจัดกระบวนการเรียนรู้แก่คณะกรรมการนิสิตหอพักและเจ้าหน้าที่หอพักเนื่องในโครงการ “พัฒนาบุคลิกภาพ” ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมพูลแมน ราชา ออคิด จังหวัดขอนแก่น
อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นวิทยากรอย่างเต็มสถานะก็คงไม่ถูกนัก เพราะในเนื้อแท้นั้น ผมเองก็มีหน้าที่ต้องกำกับดูแลในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็พยายามจะไม่ลงลึกในรายละเอียดอะไรมาก โดยปล่อยให้ทีมงานได้คิดรูปแบบและประสานงานกันเอง
ก่อนหน้านี้หลายวัน ผมเกริ่นแบบสบายๆ แกมหยิกแกมหยอกกับแกนนำโครงการนี้ในทำนองว่า “ผมจะไปในนามวิทยากร ไม่ใช่ไปในนามหัวหน้าฯ”
ผมพูดเช่นนั้น เพราะมีเหตุผลหลักอยู่สองประการ นั่นคือ (๑) ต้องการให้ทีมงานได้ออกแบบกิจกรรมด้วยตนเอง เน้นกระบวนการเป็นทีมในระดับ “คนหน้างาน” ให้มากที่สุด รวมถึงต้องการให้พวกเขาฝึกทักษะการติดต่อกับหน่วยงานภายนอกด้วยตนเอง (๒) ต้องการให้ทีมงานฝึกทักษะการติดต่อวิทยากรและดูแลวิทยากร โดยมีผมเป็น”แบบเรียน” เล่มเล็กๆ ให้ฝึกปรือวิทยายุทธ
กรณีประเด็นที่สองนั้น เกิดจากแรงบันดาลใจที่ผมไปมาหลายที่แล้วเห็น "ทักษะ" การประสานงาน รวมถึงทักษะในการต้อนรับวิทยากรที่หลากรูปลักษณ์ ซึ่งมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยที่ผมสัมผัสได้ชัดแจ้ง จึงอยากนำข้อมูลเหล่านั้นมาสอนลูกทีมไปในตัว แต่จะไม่พยายาม “สอนตรง” เพราะเกรงว่าจะเป็นการ “สั่ง” มากจนเกินไป จึงพยายามสร้าง “เวที” ให้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงไปแบบ “เนียนๆ”
การงานในครั้งนี้ นิสิตที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพเป็นหลักสำคัญ เช่น การพูด การแต่งกาย มารยาทการรับประทานอาหาร จรรยาบรรณในวิชาชีพ และการสมัครงาน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นจุดอ่อนของนิสิตเราทั้งสิ้น ดังนั้นกิจกรรมในครั้งนี้จึงพาพวกเขามาเรียนรู้แบบ “เร่งรัด” และ “รวบยอด” เพื่อก่อให้เกิด “องค์ความรู้เล็กๆ มีทักษะและแรงบันดาลใจ” เมื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัย เราก็มีโครงการฯ รองรับให้พวกเขาได้ต่อยอดความคิด (ทั้งในฐานะผู้จัดเองและผู้เข้าร่วม ฯ)
เรียกได้ว่า เรียนแล้วต้องนำไปใช้จริง
และเรียนแล้ว ต้องกลับไปเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว
ซึ่งผมและทีมงานได้จัดเตรียมงบประมาณให้พวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยหวังว่าพวกเขาจะเกิดแรงทะยานในการ “คิดที่จะลงมือทำในสิ่งที่อยากจะทำ”
(๒)
ช่วงเย็นของวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๔
ผมนัดทีมงานมานั่งพบปะพูดคุยกันสั้นๆ เป็นกระบวนการ AAR เล็กๆ เน้นการพูดคุยและเล่าเรื่องในสิ่งที่ทำ และย้ำในสิ่งที่เรา “ค้นพบ” เพื่อนำไปแก้ไขและต่อยอดในสิ่งที่ดีอยู่แล้ว
หลักๆ ผมไม่ได้ก้าวล้ำอะไรเลยก็ว่าได้ ตรงกันข้ามกลับเน้นการให้อิสระในสิ่งที่ลูกทีมได้คิดและวางแผนไว้ เพียงแต่เสริมพลังในเรื่องของการมอบหมายงานของแต่ละคนให้ชัดเจน เพราะไม่อยากให้กระจุกอยู่กับใครเพียงคนเดียวมากจนเกินไป ดังนั้นจึงเห็นภาพชัดเจนว่า งานพรุ่งนี้เช้าจะเปิดเวทีด้วยอะไร ? ใครคือผู้รับผิดชอบ ? และกิจกรรมนั้นๆ มุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์อะไรบ้าง ?
(ขั้นตอน : เปิดเปลือยความรู้สึกของนิสิต)
เป็นที่น่ายินดีอย่างมาก ข้อเสนอแนะเล็กๆ ของผมเดินทางมาทันเวลา พวกเขาฉุกคิดได้ทันและสามารถนำไปเสริมพลังในส่วนที่เหลือได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น การเปิดเวทีด้วยวีดีทัศน์เป็นการเรียกสมาธิและกระตุ้นพลังในตัวของนิสิต จากนั้นก็สะท้อนความคาดหวัง ผูกโยงไปสู่การให้นิสิตสะท้อนบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากวิทยากร และปิดท้ายด้วยการสะท้อนผลการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ซึ่งนิสิตได้ลงพื้นที่ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการฝึกการสังเกต, เก็บข้อมูล ขบคิด สังเคราะห์ ตีความ ระดมความคิดเพื่อถ่ายทอด หรือสื่อสารต่อสาธารณะ อันเป็นการดำเนินงานภายใต้แนวคิดของการ “เรียนรู้ด้วยตนเอง” และตอกย้ำวาทกรรมที่ผมพูดบ่อยๆ ว่า “ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่า....”
แน่นอนครับ ผมไม่ได้ปล่อยให้ลูกทีมทำงานอย่างเดียวดาย แต่บอกกับพวกเขาว่าผมมีสื่อหลายเรื่องเลยแหละ และพร้อมที่จะส่งมอบให้พวกเขาได้นำไปเปิดให้นิสิตได้เรียนรู้ พร้อมๆ กับการย้ำทีเล่นทีจริงแบบเก๋ๆ อีกรอบว่า “ลุยกันเองเลยนะ” (ผมมาในฐานะวิทยากร...!”
ก่อนแยกย้าย ณ ที่ตรงนั้น ผมถามกลับไปอีกรอบว่า “อยากให้ผมทำอะไรบ้าง ?”
ผมถามเช่นนั้น เพราะต้องการถามซ้ำให้แน่ใจว่า พวกเขาอยากให้ผมบรรยาย หรือจัดกระบวนการเรียนรู้ใน “หัวข้อ” อะไร..หรือผู้ฟังอยากฟังเรื่องอะไร นั่นเอง และนั่นก็เป็นกระบวนการเล็กๆ ที่ผมพยายามสอนงานลูกทีมได้เห็นความสำคัญของการ “ประเมินความคาดหวัง” ล่วงหน้าไปในตัว
และพวกเขาก็ยังตอบแบบเป็นกันเองว่า “อะไรก็ได้ (มันเป็นธรรมเนียมที่มักตอบกันแบบนี้เสมอ) ...และอยากให้สร้าง “แรงบันดาลใจ” (Inspiration) ให้กับนิสิตในการเรียนรู้ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต”
พอได้ฟังเช่นนั้น ผมก็เลยถือโอกาสตอบกลับไปว่า “งั้นเอาแบบสนุกๆ เน้นทิ้งประเด็นให้คิดกันเอง สอนความเป็นทีมผ่านสื่อและวาทกรรมต่างๆ เน้นเชิงปฏิบัติแบบให้คิดเอง แก้สถานการณ์เอง ผูกโยงไปสู่การร้อยเรียงความคิดเป็นเรื่องราวร่วมกัน...”
ซึ่งทุกคนก็เห็นคล้อยตามนั้น
เสร็จจากนั้น พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนแยกย้ายกันไปนั้น พวกเขาก็ยืนยันว่า จะวกกลับไปคุยกันอีกรอบ เพื่อมอบหมายภารกิจให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้ม และยิ้ม ...(ก็จริงไม่ใช่เหรอ มันคือความสุขเล็กๆ ที่ค้นพบได้จากตรงนั้น)
(ขั้นตอน : เรื่องเล่าคนละบรรทัด สกัดจากสถานการณ์เฉพาะกิจ)
(๓)
เช้าวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๔๕
ทีมงานเปิดเวทีด้วยกิจกรรมนันทนาการในแบบที่พวกเขาถนัด แถมด้วยวีดีทัศน์ในบางชุดที่ผมมอบไว้ให้ เรียกเสียงฮาและการฝึกสมาธิก่อนเข้าสู่กระบวนการได้เป็นอย่างดี
ถัดจากนั้นก็เป็นกิจกรรมสะท้อนความคาดหวังโดยเจ้าหน้าที่และยึดโยงเวทีให้นิสิตได้ลุกขึ้นมาสะท้อนผลการเรียนรู้ในรอบวันที่ผ่านมาด้วยตัวเอง โดยเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีทักษะการเรียนรู้ที่ดี มีการฟังและจับประเด็นได้อย่างครอบคลุม มีการวิเคราะห์ทั้งองค์รวมและแยกส่วนได้ค่อนข้างดี และที่สำคัญคือมีทักษะการนำเสนอได้อย่างมีขั้นตอน แถมพกพาอารมณ์ขั้นมาอย่างเต็มสูบ (ซึ่งสองประเด็นหลังนั้น ผมแพ้เขาอย่างสิ้นเชิง)
กระทั่งเวลาประมาณเกือบๆ จะ ๑๐.๓๐ นาฬิกาโน่นแหละ ผมถึงสบโอกาสได้นำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ที่ตัวเองได้เตรียมมา
ครั้งนี้ผมก็เดินเรื่องเข้าสู่บทเรียนของตัวเองเหมือนทุกๆ ครั้ง กล่าวคือเปิดเวทีด้วยสื่ออันเป็นวีดีทัศน์สั้นๆ เพื่อฝึกการฟัง ฝึกการดู ฝึกการจับประเด็น ฝึกการคิดรวบยอดแบบวิเคราะห์สังเคราะห์ รวมถึงการแฝงแนวคิดเรื่องการเรียกสมาธิของผู้เรียนไปแบบเนียนๆ ครั้นพอฉายฯ จบ ผมก็เริ่มต้นขยับเข้า“ทักทายและโยนคำถามไปกลางวงประมาณว่า ...ดูแล้วรู้สึกอย่างไร” ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่า นิสิตมีปฏิกิริยาตอนกลับมาค่อนข้างดี ไม่มีการนิ่งเงียบ ตรงกันข้ามกลับยกมือตอบแบบไม่ต้องมี “รางวัล” มาล่อ..
เรียกได้ว่าไม่มีอาการ “จักแหล่ว แล้วแต่หมู่ กูว่าแล้ว..”
เสร็จจากนั้น ผมก็รวบรวมพลังในตัวเอง (เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นไข้) นำนิสิตและเจ้าหน้าที่เข้าสู่บทเรียนร่วมกัน เน้นการบรรยายและชวนเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเป็นระยะๆ โดยเนื้อหาก็เกี่ยวโยงกับสิ่งที่เขาควรจะรู้เช่น ทิศทางของการผลิตและพัฒนาบัณฑิตทั้งในระดับชาติและระดับสถาบัน พร้อมๆ กับการสอดแทรกสาระความคิดในโลกแห่งข่าวสารไปเป็นระยะๆ เพื่อประเมินผลึกความคิดของพวกเขาว่าตกขอบการรับรู้ข่าวสารต่างๆ ไปหรือยัง
กระบวนการที่เกิดขึ้น เป็นการเรียกสติการเรียนรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่การสื่อสารทางเดียว และชวนให้ผู้ฟังได้เป็นส่วนร่วมในการคิดและหาคำตอบในโจทย์ หรือเรื่องราวที่เราหยิบมาเป็น “ประเด็น”
อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นได้ว่าพวกเขามี “ทุนอะไรอยู่ในตัวเองบ้าง ?” และอย่างน้อยก็บอกให้สะกิดให้เขาได้คิดและทบทวนถึง “หมุดหมายของการเรียนและการใช้ชีวิตของตนเองอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร ?” ...
และท้ายที่สุดผมก็นำเข้าสู่กิจกรรมปฏิบัติการร่วมกันอีกรอบ ด้วยการแบ่งกลุ่มเล็กๆ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม “เรื่องเล่าคนละบรรทัด”
เรื่องเล่าคนละบรรทัด เป็นการฝึกทักษะการเล่าเรื่องของแต่ละคน เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรและภาพ โดยเริ่มต้นจากใครสักคนเขียนเรื่องราวลงบนกระดาษเพียงหนึ่งบรรทัด เสร็จแล้วให้คนถัดไปมาเขียนต่อ และทำเช่นนั้นไปจนถึงคนสุดท้าย แล้วปิดเรื่องด้วยคนแรกอีกรอบ ซึ่งแต่ละขั้นตอนห้ามมิให้มีการปรึกษากัน โดยเด็ดขาด แต่เน้นให้เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่าในบรรทัดที่ถูกเขียนทิ้งไว้ก่อนหน้านั้น
ขณะที่พวกเขากำลังเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรในเวลาอันจำกัดนั้น เราก็เปิดเพลงคลอไปด้วย เป็นการเสริมพลังให้กับพวกเขาไปในตัว และที่สำคัญก็คือโครงเรื่องทั้งหมดนั้น เกี่ยวโยงกับความเป็นนิสิตที่พักอาศัยในหอพักของมหาวิทยาลัยฯ นั่นเอง (เป็นการเล่าเรื่อง หรือเขียนเรื่องในระยะสุดสายตา)
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ให้มานั่งล้อมวงพูดคุยกัน เปิดโอกาสให้ซักถามกันและกันว่า “ทำไมถึงเล่าเรื่องออกมาในทำนองนั้น” เป็นการเชื่อมโยงให้แต่ละคนได้เห็นความสำคัญของเจตนารมณ์ของกันและกัน
ถัดจากนั้น ก็ให้ช่วยกันเล่าประมวลเรื่องราวทั้งปวงอีกรอบ โดยร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าที่เป็นรูปธรรมและสละสลวยมากกว่าเดิม พร้อมๆ กับการนำเรื่องราวทั้งหมดนั้นเขียนออกมาเป็น “ภาพวาด” ...และนำเข้าสู่การนำเสนอให้เพื่อนทุกคนได้ร่วมรับรู้
กิจกรรมนี้ ผมไม่จำเป็นต้องสรุปว่า “สอนอะไรบ้าง” แต่เห็นได้ชัดว่า มันเป็นกิจกรรมที่สนุก ตื่นเต้น เฮฮา...ฯลฯ...(บันเทิง เริงปัญญา)
จนสุดท้ายก็ปิดเวทีด้วยคลิปอีกเรื่อง เน้นเรื่องราวอันเป็นพลังใจของการทำอะไรสักอย่างที่ใช้ “ใจนำพา...ศรัทธานำทาง” ซึ่งทำเอาใครหลายคนนิ่งงัน สะเทือนใจเป็นอย่างมาก
(ขั้นตอน : เปิดเปลือยเจตนารมณ์ของแต่ละคนจากแต่ละบรรทัด)
เมื่อคลิปสั้นๆ นั้นยุติลง ผมก็ก้าวเข้าไปถามทักสั้นๆ ว่า ...”ได้อะไรกับการเรียนรู้ในครั้งนี้บ้าง.. รวมถึง ได้แรงบันดาลใจจากกระบวนการที่ผมนำมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้บ้างมั๊ย...?
และนี่คือส่วนหนึ่งที่พวกเขาเขียนสื่อสารกลับมายังผม-
แน่นอนครับ, ฟังดูอุดมคติเอามากๆ เพราะมองเป็นรูปธรรมค่อนข้างอยาก มันไม่ใช่ทักษะที่วัดกันให้เห็นได้ในทันท่วงที แต่ต้องไม่ลืมว่า นั่นคือทักษะทางความคิดอันดียิ่งเลยทีเดียว เพราะวิธีคิดเช่นนี้ เป็นวิธีคิดเชิงบวก เป็นพลังบวกที่มาจากแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้แหละ คือตัวกำหนดพฤติกรรมการกระทำ, มันคือ ต้นทุนอันสำคัญในการกำหนดพฤติกรรม หรือบุคลิกภาพที่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้
(ขั้นตอน : จากเจตนารมณ์ของแต่ละบรรทัดสู่การร้อยเรียงเรื่องราว)
แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีความสุขที่เห็นใครๆ เข้าร่วมกระบวนการที่เราจัดขึ้นแล้วเกิด “พลังใจ” หรือ “แรงบันดาลใจ” ที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองและสังคม
สิ่งเหล่านั้นคือ “พลังบวก” ที่เขาได้ค้นพบในตัวเอง
สิ่งเหล่านั้น คือ หมุดหมาย หรือเข็มทิศ หรือแม้แต่ธงที่เขาปักลงเพื่อไปให้ถึง
สิ่งเหล่านั้น คือการชวนให้พวกเขาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าเป็นมาอย่างไร ยืนอยู่ตรงจุดไหน และจะเดินทางต่อในทิศทางใด
และที่สำคัญเลยก็คือ "แรงบันดาลใจ" ก็มีสถานะของการเป็นเสมือน “คำสัญญาเล็กๆ” ที่เขาได้ให้ไว้กับตัวเองนั่นเอง
ครับ, ในฐานะผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ในครั้งนี้
“ถึงแม้พวกเขาอาจจะไม่ได้ “ความรู้” อะไรมากมายจากกระบวนการของผม แต่ก็ดีใจแบบสุดๆ ดีใจที่ได้เห็นพวกเขาเกือบทั้งหมดมี “ความสุข” กับกระบวนการเรียนรู้ที่นำมาเสนอ และดีใจที่กระบวนการของตัวเองเสริมพลังให้พวกเขาเกิด “แรงบันดาลใจ” ขึ้นมาได้...”
ขอบคุณ และขอบคุณจริงๆ ...
ดูเหมือน "ความสำเร็จ" จะอยู่ที่ "หัวใจ" ของผู้รับร่วมทุกคนนะครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัว "วิทยากร" เอง ;)...
ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ;)...
เรียนท่านอาจารย์
มาศึกษาเรียนรู้แรงบันดาลใจคะ
รออ่านตอนต่อไปคะ
สวัสดีครับ อ.วัสฯ Wasawat Deemarn
กระบวนการในแต่ละครั้ง ผมมองเป็นความท้าทายเสมอ โดยเฉพาะการท้าทายที่จะเสริมแรงให้ผู้เข้าร่วมได้ "เปิดใจ" ที่จะเรียนรู้กับผม หรือแม้แต่เปิดใจที่จะเรียนรู้กับเพื่อนที่อยู่รายรอบกายและเนื้อหาต่างๆ ที่เรานำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ก็ยังต้องวิเคราะห์ก่อนว่า พวกเขาต้องการอะไร, และจะสื่อสารไปยังพวกเราอย่างไร เพื่อมิให้เกิดภาวะสื่อสารทางเดียว
ดีใจที่ประเมินแล้ว คนเข้าร่วมมีความสุข ได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ วันนี้เลยสรุปงานกับทีมงาน เป็นการตีเหล้กขณะร้อนๆ เพื่อผูกโยงไปสู่โครงการฯ ถัดไปทันที
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่คุณยาย
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
การงานครั้งนี้ สุขภาพผมไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ยังดีที่เรียกพลังกลับมาได้ทันท่วงที...พลอยให้อะไรๆ ผ่านไปได้อย่างที่หวัง
การประเมินผลวันนี้ ทีมงานมีความสุขมากครับกับสิ่งที่ได้ลงมือทำ พร้อมๆ กับการชวนให้เขาวิเคราะห์ร่วมกันว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข (ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ) และผลที่ค้นพบนั้น ผมเองก็ย้ำให้มีการต่อยอดต่อไปในทันที ซึ่งเป็นกิจกรรมบริการวิชาการสู่ชุมชนนั่นเอง
สวัสดีครับ อ.ศศิธร อุบลชาติ
ทุกครั้งที่เวทีของการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ้นสุดลง ผมจะประเมินผลในภาพกว้างๆ ว่าได้ "แรงบันดาลใจ" อะไรบ้างหรือเปล่า และจะพยายามหลีกเลี่ยงการถามทักในทำนองว่า "ได้ความรู้อะไร"
หรือไม่ก็จะพยายามถามในทำนองว่า "มีอะไรที่จะนำไปใช้ประโยชน์กับชีวิตและการงานได้บ้าง..."
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ลำดวน
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับว่าแรงบันดาลใจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะมันเป็นเรื่องลึกเร้นในตัวตนของแต่ละคน แต่หากได้รับการเสริมพลัง กระตุ้นทั้งจากตัวเองและปัจจัยบวกจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและมีความสมดุลกับกาละต่างๆ ก็ยิ่งช่วยให้เกิดได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
การจัดกระบวนการในแต่ละครั้ง วิทยากรใช้พลังมากมายเหลือเกินกับการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมเกิดพลังและจินตนาการที่จะเรียนรู้ร่วมกัน และมีแรงใจในการที่จะกลับไปสร้างสรรค์ชีวิตและการงานของพวกเขา
สื่อต่างๆ ประเด็นต่างๆ ลีลาท่วงท่า, และกลยุทธ คือสิ่งที่วิทยากรต้องจัดหาและจัดเตรียมให้พร้อมที่สุด
และทุกครั้ง ผมก็เรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด พยายามเรียนรู้อย่างมีความสุข เพื่อให้งานออกมาอย่างเป็นสุขด้วยเช่นกัน
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่ใบบุญ
งานครั้งนี้ ก็ชัดเจนตั้งแต่แรกว่า เป็นกระบวนการกระตุ้นความคิดมากกว่าจะไปสอน หรือชี้นำ ดังนั้นประเด็นการสร้างแรงบันดาลใจจึงสำคัญ พร้อมๆ กับการจัดวางให้นิสิตได้คิดทบทวนตัวเองไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ลืมที่จะชวนให้เขามองย้อนกลับไปยังอดีต ปัจจุบันและสำคัญคือมองไปยัง "อนาคต" ของเขาเอง..
ขอบคุณครับ