อาอีเสาะ
บอรอดายา
ต้องการทุนเพื่ออาชีพที่ยั่งยืน
มูฮำหมัด ดือราแม
สถานภาพของครอบครัวที่ขาดผู้นำ
ภาระที่หนักย่อมตกเป็นของภรรยา เช่นเดียวกับครอบครัวของนางสาวอาอีเสาะ
บอรอดายา ครูผู้ดูแลเด็กประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านพ่อมิ่ง
ตำบลพ่อมิ่ง อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
ตอนนี้เธอเป็นทั้งแม่และพ่อที่ดูแลลูก 4 คน
เพราะการจากไปของสามีพร้อมเสียงปืนเมื่อ 4 ปีก่อน
นายรูยานิง สาอิ สามีของเธอ เป็นอุสตาซ หรือ ครูสอนศาสนาอิสลาม
ถูกยิงเสียชีวิตในช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม
ตรงกับวันที่ 22 ตุลาคม 2549 บริเวณหน้าศาลาละหมาด หลังจากละหมาดเสร็จ
โดยลมหายใจสุดท้ายขณะอยู่ในอ้อมกอดของแม่
การเสียชีวิตของนายรูยานี ได้ทิ้งภาระอันหนักหนาแก่ภรรยา
ทั้งการผ่อนรถยนต์ ผ่อนมอเตอร์ไซค์
เป็นทรัพย์สินที่นายรูยานิงทิ้งไว้โดยพ่วงหนี้สินมาด้วย
ในขณะที่อาอีเสาะกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 4 อยู่ด้วย
ตลอดสัปดาห์หลังการเสียชีวิตของนายรูยานิง
เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจแก่ครอบครัว
เพราะนายรูยานิง
เป็นอุสตาซสอนศาสนาในโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลามบ้านพ่อมิ่ง
และยังเป็นโต๊ะอิหม่ามที่เดินสายบรรยายธรรมเพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้แก่มัสยิดต่างๆ
ในพื้นที่ เคยได้รับรางวัลโต๊ะอิหม่ามดีเด่น
โดยได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2545 จึงทำให้เป็นที่รู้จักของผู้คน
รูปของนายรูยานิง สาอิ สามี เมื่อครตั้งได้รับรางวัลโต๊ะอิหม่ามดีเด่นจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อปี 2545
เมื่อศพถูกฝังลงบนพื้นดินที่พร้อมจะรองรับร่างกายที่ขาดวิญญาณ
ดินพระราชทานก็ถูกส่งมอบผ่านมายังผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีในขนาดนั้น
คือ นายภาณุ อุทัยรัตน์
พร้อมกับกระแสที่หลั่งไหลมาเพื่อให้ความช่วยเหลือจากหลายๆ
หน่วยงานทั้งจากภาครัฐ และเอกชน
“สัปดาห์แรกที่สามีเสียชีวิต คนมากันเยอะ
จนถนนหน้าบ้านรถไม่สามารถสัญจรไปมาได้สะดวก
ไม่รู้ว่าคนที่มาให้กำลังใจมาจากที่ไหนบ้าง แต่เท่าที่ทราบคือ
สามีมีลูกศิษย์มากมาย เป็นอิหม่ามที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอย่างสม่ำเสมอ” นางสาวอาอีเสาะ กล่าว
ยังไม่ทันที่เธอคลายความโศกเศร้า
ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เธอตื่นตกใจอีกรอบ
แม้ไม่ได้สร้างความสูญเสียให้แก่ครอบครัว
แต่ก็ทำให้บ้านของเธอได้รับความเสียหาย
เนื่องจากเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงใส่กลุ่มนักเรียนโรงเรียนที่นั่งรับประทานอาหารค่ำในร้านตรงข้ามโรงเรียน
จำนวน 3 คน ทำให้เสียชีวิตไป 2 คน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน
2552
ผลตอบแทนจากการให้ความร่วมมือกับรัฐของสามี ทำให้ครอบครัวของรูยานิง
ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะค่าเล่าเรียนของลูกๆ
ซึ่งมีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดรอไว้แล้ว
เพราะลำพังเพียงเงินเดือนครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กคงไม่พอกับการเลี้ยงลูก
4 คน กับแม่ยายอีกคนแน่
“บางครั้งโอนเงินมา 3 เดือนครั้ง เท่าที่คิดเฉลี่ย ชั้นประถม ได้
1,000 บาท ส่วนชั้นมัธยมเดือนละ 1,500 บาท
ส่วนลูกคนสุดท้องจะมีหน่วยงานที่ส่งนมผงมาให้กินเกือบทุกเดือน
แต่ตอนนี้ไม่ได้ส่งมาให้แล้ว”
เมื่อการช่วยเหลือซาลง ภาระความเป็นผู้นำครอบครัว
จึงตกอยู่กับเธอเพียงคนเดียว การที่หญิงสาวร่างกายบอบบาง
ต้องมารับบทบาทเช่นนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่หนักหนาพอสมควร
บวกกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่พอสมควร อันเนื่องมากจากเพิ่งสูญเสียสามี
แต่ด้วยหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ทำให้อาอีเสาะ ยึดมั่นไว้เสมอว่า
มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเจอกับความตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
คำสอนนี้เองที่อาอีเสาะนำใช้ไปสอนกับลูกๆ เพื่อให้ทุกคนเข้มแข็ง
“ดิฉันพึ่งหวังลูกคนโตให้เขาได้เรียน เป็นที่พึ่งของครอบครัวและน้องๆ
แต่ตอนนี้ยังไม่รู้จะพึ่งใคร”
ระยะเวลาผ่านไป 4 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ได้รับจากหน่วยงานต่างๆ
ในรูปของวัตถุมีมากมาย โดยเฉพาะเงิน
แต่ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความมั่นคงแก่ผู้ที่ได้รับกระทบได้มากนัก
ในทางกลับกัน เธอคิดว่า หากมีการสอนวิธีการสร้างอาชีพ
จะสามารถสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตได้ และจะช่วยลดงบประมาณได้มาก
หากผู้ได้รับผลกระทบสามารถประกอบอาชีพได้ สามารถหารายได้เอง
นั่นจึงตรงกับความต้องการของนางสาวอาอีเสาะ
“ดิฉันต้องการทุนสักก้อน เพื่อนำไปลงทุนจำหน่ายเสื้อผ้า
ไม่ใช่การเปิดร้าน แต่เป็นการขายตรง เดินเข้าไปหาลูกค้า
ดิฉันเชื่อว่าสามารถที่จะทำได้
และมันจะสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้”
แม้เธอจะมีความมุ่งมั่นมากแค่ไหนในการที่ลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเอง
แต่น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของอาอีเสาะทุกครั้งที่พูดถึงผลกระทบที่ได้รับ
โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ
แม้ว่าปากจะบอกเราต้องยอมรับในสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้วก็ตาม
เธอบอกว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้แล้ว”
นางสาวอาอีเสาะ บอรอดายา กับลูก
ความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เขียน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ คงไม่ต่างจากรณีอื่นๆ
อีกหลายกรณีในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งการที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอผ่านพ้นมา 4 ปี แล้ว
ย่อมช่วยรักษาใจได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่สิ่งผู้ได้รับผลกระทบหลายรายต้องการคือความสามารถได้การหารายได้ได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่ต้องรอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว
เพียงแต่ติดอยู่ที่โอกาสและความสามารถในการตั้งต้นหรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังไม่ได้
เพราะการประกอบอาชีพบางอย่างต้องใช้ต้นทุนจำนวนหนึ่ง
ซึ่งยังหาไม่ได้
ขณะที่การช่วยเหลือจากรัฐมักเป็นการให้ในรูปของวัตถุมากกว่า
จึงทำให้ผู้ได้รับผลกระทบรู้สึกว่า
เป็นการช่วยเหลือที่ไม่ยั่งยืน
เป็นเพียงรูปแบบสังคมสงเคราะห์ และไม่อาจรับประกันได้ว่า
การช่วยเหลือในครั้งต่อไปจะได้รับอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือในเรื่องการประกอบอาชีพก็ใช่ว่า จะไม่มีเลย
แต่อาจเป็นเพราะผู้ได้รับผลกระทบเอง
ยังมองไม่เป็นช่องทางหรือไม่มีการนำเสนอช่องทางให้ทราบ
จึงจำเป็นที่หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ต้องเข้าหา
เพื่อช่วยให้ผู้ได้รับผลกระทบ สามารถตั้งตัวได้เร็วขึ้น
โดยไม่ต้องรอให้ผู้ได้รับผลกระทบเจอช่องทางการช่วยเหลือโดยบังเอิญ
********************
ไม่มีความเห็น