‘มะเดรี มะสลอง’
กับกระสุนปริศนาและเงินที่ไม่พอเยียวยา
มูฮำหมัด ดือราแม
บ่ายแก่ๆ กลางเดือนกรกฎาคม ขณะที่ ‘มะเดรี มะสลอง’ หนุ่มใหญ่วัย 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 89 หมู่ 9 บ้านตาเนาะปูเตะใน ตำบลตาเนาะปูเตะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา กำลังใจจดจ้องอยู่กับการจับตั๊กแตนตัวหนึ่งกลางทุ่งนาเพื่อจะนำมาเป็นอาหารให้นกกรงหัวจุกที่เลี้ยงไว้
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกก้อนหินขนาดใหญ่พุ่งใส่กลางหลังอย่างจัง เขาเซถลาเหมือนนกปีกหักก่อนที่จะล้มลง
ขณะนั้นเขาไม่ทราบว่าตนเองถูกยิง เพียงแต่ยังคิดว่าโดนวัตถุของแข็งขนาดใหญ่พุ่งกระเด็นใส่ เขาพยายามเงี่ยหูฟังว่ามีเสียงอะไรบ้างรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร
จนกระทั่งเขารวบรวมสติได้ จึงรีบขับรถมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน และหยุดที่ร้านน้ำชาเพื่อถามชาวบ้านว่าตนเองโดนอะไรที่กลางหลัง ตอนนั้นเองที่มะเดรีเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกยิง ด้วยกระสุนปริศนาจากปากกระบอกปืนของใครบางคน
“ชาวบ้านบอกว่ามีรูดำๆ ข้างหลัง มีเลือดออกมามาก อาจจะถูกยิง ตอนนั้นเลือดไหลท่วมแผ่นหลังผมแล้ว แต่ผมยังไม่ทราบว่าถูกยิง รู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่พุ่งใส่จากข้างหลังมากกว่า” เขาบอกเล่าความรู้สึกขณะนั้น
มะเดรีเล่าว่า เขายังไม่รู้ว่าคนยิงมาจากไหน แต่ชาวบ้านหลายคนบอกว่ามีรถแล่นผ่านบริเวณทุ่งนาที่ตนเองไปจับตั๊กแตน ซึ่งปกติแถวนั้นไม่ค่อยมีรถผ่านมากนัก แต่วันนั้นมีชาวบ้านเห็นรถวิ่งผ่านออกมาจากถนนสายนั้น เขาจึงสันนิษฐานว่า กระสุนปืนปริศนาน่าจะมาจากรถคันนั้น แต่ก็ไม่ฟันธง
หลังจากที่ชาวบ้านดูจนแน่ใจว่าถูกยิง จึงได้พาเขาไปที่ค่ายทหารที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ จากนั้นทหารนำตัวไปส่งโรงพยาบาลบันนังสตา ก่อนจะนำส่งตัวไปโรงพยาบาลศูนย์ยะลาอีกที
“หลังจากออกจากโรงพยาบาล ตอนแรกก็ไม่ได้ไปแจ้งความอะไร แต่ปลัดอำเภอบอกให้ไปแจ้งความที่โรงพักบันนังสตาเพื่อเอาเงินเยียวยา ซึ่งศูนย์เยียวยาอำเภอบันนังสตาได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาประมาณ 7,000 บาท และทางศูนย์เยียวยาจังหวัดได้ให้เพิ่มอีก 3,000 บาท รวมแล้วได้เงินเยียวยา 10,000 บาท”
“ปลัดอำเภอได้ให้ผมไปขอที่ อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) ด้วย แต่ผมไม่อยากไปแล้ว เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะช่วยเหลือเราหรือไม่ จึงไม่ไปดีกว่า”
เมื่อถามว่าจำนวนเงินดังกล่าวที่ได้รับเพียงพอหรือไม่ มะเดรีส่ายหน้าก่อนบอกว่า “ไม่พอหรอกกับสิ่งที่ผมได้รับ เพราะว่าปัจจุบันนี้กระสุนนั้นยังติดอยู่ข้างใน ไม่ได้ผ่าเอาออกมา หมอบอกว่า ไม่ต้องเอาออกก็ได้ ไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกาย ถ้าผ่าตัดเอาออกอาจจะส่งผลร้ายแรงกับร่างกายมากกว่า จึงตัดสินใจไม่ผ่าออก”
เขาบอกว่า แรกๆ ก็รู้สึกเจ็บที่แผลเหมือนกัน แต่ช่วงหลังค่อยยังชั่วแล้ว แต่จะทำงานหนักมากเกินไปก็กลัวจะกระทบกับร่างกาย
มะเดรีบอกอีกว่า ถึงตอนนี้เขาพร้อมที่จะผ่าตัดเอากระสุนออกมา เพราะกลัวจะกระทบในภายหลัง แต่สุดท้ายแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่ต้องเอาออก ทำให้เขาต้องเก็บมันไว้ในร่างกายเสมอมา
มะเดรี มะสลอง กับรอยกระสุนปริศนาบนแผ่นหลัง
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตของมะเดรีในวันนี้ เพราะปัจจุบันเขายังรู้สึกกล้าๆกลัวที่จะออกไปทำงานหรือทำธุระข้างนอกบ้าน ทั้งที่งานหลักของเขาคือตระเวนรับซื้อเศษยางตามสวนชาวบ้าน แล้วนำไปขายต่อในเมืองยะลา แต่ต้องงดไปเพราะความกลัว ทำให้ขาดรายได้ที่จะนำมาหล่อเลี้ยงครอบครัว
กระทั่งทุกวันนี้เขาพยายามฝืนความกลัวออกไปทำงานในบริเวณใกล้เคียงหรือเฉพาะในหมู่บ้าน มีรายได้ต่อวันประมาณ 500 บาท เพื่อส่งลูกสองคนเรียนหนังสือ
โดยลูกชายคนโต อายุ 12 ปี เรียนที่โรงเรียนศาสนูปถัมภ์ ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ส่วนคนเล็กเป็นผู้หญิง อายุ 8 ปี เรียนที่โรงเรียนบันนังสตา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
เขาบอกว่า ก่อนเกิดเหตุกับตนเองรายได้เยอะกว่านี้มาก เพราะกล้าที่จะลุยเข้าไปในสวนยางพาราทุกที่ที่ไปได้ รับซื้อขี้ยางได้มากกว่าปัจจุบัน
มะเดรีบอกว่า เมื่อเจอกับเหตุการณ์กับตนเองทำให้รู้สึกไม่ดีกับกระบวนการเยียวยาที่เป็นอยู่ เขารู้สึกว่ามีขั้นตอนมากมายกว่าเงินจะมาถึงมือชาวบ้าน
“ก็ลองมองว่าชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ค่อยมีความรู้ แล้วต้องมาเดินเรื่องที่เป็นทางการ บางทีก็ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงส่วนไหนก่อน ตามความคิดผม ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร หากินอย่างเราดีกว่า ไม่อยากต้องมาปวดหัว มันเสียเวลาการทำงานของเรา”
“ต้องเดินเรื่องเป็นเดือนเป็นปี เราเองต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ถ้าวันไหนต้องไปอำเภอไปจังหวัดก็เสียรายได้ของวันนั้นไป เพราะฉะนั้น ชาวบ้านจึงปล่อยไปเลยตามเลย คิดว่าทำงานได้มากกว่าเงินเยียวยา เท่าที่ดูจากผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาและคนอื่นๆ อีกก็ได้ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่นัก”
ท้ายที่สุด มะเดรีบอกว่า เรื่องคดีของตนปัจจุบันก็ยังอยู่ที่โรงพักไม่ได้ไปถึงศาล เพราะยังสืบสวนหาผู้กระทำความผิดไม่ได้
ถึงตรงนี้เขาถอนหายใจ แล้วบอกว่า เขาทำใจไว้แล้วว่า คงยากที่จะหาคนผิด แต่ก็ยังหวังว่าจะเห็นความจริงจังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนหรือตามหาเบาะแสของคดี เพราะอย่างน้อยก็ได้ทำอะไรไปบ้าง เพื่อหาคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ดีกว่าปล่อยให้คนเหล่านี้ลอยนวลอยู่ในสังคมต่อไป
ความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เขียน
เป็นโชคร้ายของผู้ประสบเหตุที่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถที่จะสรุปคดีนี้ได้ คดีนี้ก็คงจะค้างคาอยู่ต่อไป โดยที่ผู้ประสบเหตุเองก็ไม่สิทธิรับการช่วยเหลือเยียวยาได้มากไปกว่านี้ หากยึดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาของรัฐในปัจจุบัน ยกเว้นการช่วยเหลือเบื้องต้นตามที่ผู้ประสบเหตุได้รับเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้การช่วยเหลือในรูปตัวเงินจะให้ครั้งเดียวจบ แต่ผลกระทบที่ตามมาของผู้ประสบเหตุไม่ได้จบตามไปด้วย อย่างน้อยก็คือผลกระทบทางด้านร่างกาย ที่ส่งผลให้ผู้ประสบเหตุต้องหวั่นวิตกกับกระสุนที่ยังฝังอยู่ในร่างกายว่า อาจเป็นอันตรายต่อรายกายตามมาในภายหลังอีกหรือไม่ ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง กลายเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจตามมาด้วย
ขณะเดียวกันในกระบวนการเยียวยาของรัฐ ไม่มีหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาในรายที่คลุมเครืออย่างชัดเจน นอกจากการช่วยเหลือในเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้ได้รับผลกระทบที่ยังคลุมเครือเหมือนกับกรณีนี้อีกหลายราย ซึ่งภาครัฐควรต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในกลุ่มนี้ด้วย เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งหรือไม่ได้รับการเหลียวแล ด้วยเพราะความไม่ชัดเจนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อรัฐตามมาด้วย
********************
ไม่มีความเห็น