การเดินทางของนมแม่...พลังแห่งหัวใจ
โดย อังสนา วงศ์ศิริ
กับการทำงานด้านนมแม่อย่างจริงจังมากว่า 7 ปี กาลเวลาสอนให้ฉันรู้ว่ากว่าจะทำให้ใครหรือคนใดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำเร็จนั้น มันไม่ใช่เพียงแค่การชักชวน และบอกกล่าวในสิ่งที่เรียนรู้มาจากตำรา แต่ฉันว่า “การเป็นตัวอย่างที่ดี” มีความสำคัญกว่าเป็นไหนๆเพราะฉันพิสูจน์มาแล้วว่า “นมแม่” ดีจริง เมื่อลูกชายคนเล็กคว้า “รางวัลที่ 1: พัฒนาการดี....เริ่มที่นมแม่” ระดับจังหวัด มาให้ชื่นใจ ตั้งแต่ยังไม่ทันจะขวบครึ่ง ลูกเป็นใบเบิกทางให้พูดได้เต็มปากว่า นมแม่ดีที่สุดในทุกๆด้าน และฉันก็ถ่ายทอดประสบการณ์ให้คุณแม่หลายคนฟังเพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เค้า หากใครเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้ 6 เดือน ฉันถือว่านั่นคือความสำเร็จของเราทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากทำไม่ได้ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะวาสนาที่เด็กสร้างมาเท่านั้นเอง
“น้องโจ” พยาบาลรุ่นน้องผู้รั้งตำแหน่ง “คุณแม่คนใหม่” ที่ฉันคุยได้ว่าเป็นคนเอาลูกชายน้อยมาดูดนมบนอกในชั่วโมงแรกที่เธอฟื้น ฉันเห็นแววตาปลาบปลื้มของทั้งพ่อและแม่ กับอาการกระตือรือร้นที่จะดูดนมแม่ของเจ้าตัวเล็ก ฉันแตะไหล่น้องพร้อมกับยิ้มกว้าง และกล่าวเพียงว่า “เลี้ยงนมแม่ให้ได้นะ พี่รู้ว่าโจทำได้” เพียงไม่ถึง 20 นาทีกับการเยี่ยมเยียนและคำพูดที่ทิ้งไว้ จากนั้นเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย... ได้ข่าวว่าเธอเอาลูกไปอยู่กับย่าที่จังหวัดอ่างทองตลอดระยะเวลา 3 เดือน ที่ลาคลอด ฉันรู้ว่าระหว่างเราค่อนข้างรู้จักกัน เคยทำงานร่วมกัน เธอเองรู้และเคยสัมผัสกับงานนมแม่ที่ฉันทำจากการที่แวะมาเล่น มาพูดคุยบ้าง จึงเข้าใจไปเองว่าหลังคลอดเธอย่อมรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไร แต่ที่ผ่านมาคนใกล้ชิดหลายรายที่ฉันหวังว่าเค้าต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนได้แน่ๆ ก็ยังทำไม่ได้สักราย ฉันจึงไม่แน่ใจว่านั่นคือตัวชี้วัดการทำงานของเราหรือไม่ เมื่อประสบการณ์ของการเรียนรู้เริ่มตกผลึก ฉันจึงเลิกคาดหวัง เลิกเห็นแก่ตัวที่จะดึงเขามาทำในสิ่งที่ฉันต้องการ เปลี่ยนเป็นค่อยๆเรียนรู้และช่วยกันหาทางออก ซึ่งเป็นหนทางที่เราบรรจบกันพอดี
วันแรกที่น้องโจมาทำงาน “พี่วาส” ผู้ร่วมงานในคลินิกเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกหลังผ่านการพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับเธอในวันแรกเจอ “โทรขึ้นไปคุยหน่อย เร็วๆ ไม่งั้นไม่สำเร็จแน่ ไม่รอดชัวร์ โจสนิทกับเอ้ไม่ใช่เหรอ” วูบแรกใจฉันมีท่าทีชินชาไม่อยากสนใจ ช่างปะไร โตๆกันแล้วแยกแยะกันเองก็แล้วกัน แต่วูบหลัง กับคำพูดที่ว่า “โจสนิทกับเอ้ไม่ใช่เหรอ” ช่างตอกย้ำ ฉันเกิดแรงใจที่จะลองดูอีกสักครั้ง “เราต้องทำให้เธอเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้” ฉันยกหูโทรศัพท์ตามคำขอ งานโน้มน้าวจิตใจจึงเริ่มขึ้น ฉันพูดคุยกับน้องกว่าครึ่งชั่วโมง ในทุกเรื่องที่ฉันคิดว่าสำคัญ และแนวทางที่เราจะร่วมกันดูแลในการรักษาสิทธิให้ลูกได้กินนมแม่ต่อไป “หนูบีบของหนูอยู่ มีหลายถุงไม่ได้นับ วันหลังหนูถึงจะไปบีบนม!” เป็นคำพูดสรุป อย่างมั่นใจของเธอ ที่จบลงแบบไม่สวยนักในความรู้สึกของฉัน เพราะนั่นหมายความว่า ต้องการคิดดูก่อนว่าจะตอบรับน้ำใจของเราหรือไม่ เราต่างนิ่งเงียบหลังการสนทนาจบลง
และแล้ว เหมือนมีอะไรมาดลใจ น้องโจโทรกลับมาบอกฉันว่าจะลงมาวันนี้ตอนบ่าย โชคดีเมื่อมาถึงมีกลุ่มเจ้าหน้าที่นมแม่มาบีบน้ำนม 2-3 คน ต่างก็ผลัดกันพูดชักจูงให้เธอได้คิดถึงสิ่งดีๆในนมแม่และการบีบนมแบบช่วยกันพร้อมชักชวนให้เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่ม ฉันสังเกตในแววตาน้องมีความตื่นเต้นระคนแปลกใจกับบรรยากาศการต้อนรับ ด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย และเป็นครั้งแรกกับการบีบน้ำนมโดยมีผู้ช่วยบีบคนละข้าง ที่ได้ปริมาณถึง 6 ออนซ์ ซึ่งเธอบอกว่าไม่เคยบีบได้ถึงขนาดนี้ ฉันแนะนำวิธีเก็บถุงนมแบบประหยัดพื้นที่ หนึ่งในคนที่นั่งบีบนมลุกไปกดน้ำอุ่นมาให้ดื่ม ด้วยไมตรี ยิ้มเล็กๆ ของเธอบ่งบอกว่า เธอจะไม่เหงากับการบีบนมเพียงลำพังอีกต่อไป
ดูแล้วน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่านี้หากทางบ้านไม่ส่งข่าวมาว่าเหลือนมแม่เพียง 15 ถุง จะทำอย่างไรเมื่อสิ่งที่เธอเคยคิดว่า “เวลามันคัดก็บีบๆไว้ นมผงดีๆสักยี่ห้อก็แทนนมแม่ได้” แม้กระนั้นก่อนจากลากลับมาที่บุรีรัมย์เธอยังมีนมเก็บไว้ถึง 50 ถุง อย่างไม่ตั้งใจ แต่เวลานี้เธอเปลี่ยนใจ “นมผงยี่ห้อไหนก็ไม่อยากให้ระคายกระเพาะ” และจำนวนน้ำนมที่บีบไว้งวดลงทุกทีทำให้เธอร้อนรนไม่น้อย “พรุ่งนี้หนูต้องส่งนมแล้ว ยังไม่ได้นับว่ามีเท่าไร” เป็นสัญญาณว่าไม่ได้เตรียมรับกับสถานการณ์ เราตื่นเต้นไม่แพ้กันเพราะมันจะเป็นการเดินทางของน้ำนมแม่ที่ฉันไม่เคยมีประสบการณ์...ฉันต้องเรียนรู้จากเธอต่อไป
เช้าวันนี้บรรดา “แม่ลูกอ่อน” ที่ลงเวรดึก ในชุดพยาบาล ต่างมานั่งบีบนม ฉันเล่าให้ฟังว่า “น้องโจจะไปส่งนมให้ลูกวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไร เพราะเพิ่งมาทำงานได้ 3-4 วัน พี่นัดเค้ามาที่นี่จะได้ช่วยกัน” ฉันเหลือบมองประตูหลายครา นี่มัน 11 โมงแล้ว เธอคงวุ่นวายกับการเก็บนับถุงนม และเตรียมอุปกรณ์ในการแพ็ค ไม่กี่อึดใจเสียงเคาะประตู และอาการทุลักทุเลกับการเปิดประตู ชักชวนให้ทุกคนหันไปมอง น้องโจหอบกล่องโฟมใบโตซึ่งประมาณได้ว่าต้องมี ถุงน้ำนมอยู่ในนั้นไม่น้อย “โอ้โห!” ใครซักคนอุทานออกมาในขณะที่เธอวางมันลงกลางห้อง “ไหน! นับมายัง ได้กี่ถุง” เสียงพี่วาสแทรกขึ้นมา
ภาพภายในกล่องที่ฉันเห็นหลังจากที่เธอบรรจงเปิดกล่องด้วยอาการหอบ ทำให้ฉันรู้สึกฉงน เพราะถุงนมที่แข็งแล้วไม่ต่างอะไรกับการเก็บน้ำนมของฉันสมัยก่อน “รุ่นโบราณ” พวกเราตั้งชื่อมันไว้ภายหลังที่มีการเปลี่ยนรูปแบบการเก็บนมที่สวยขึ้นและง่ายต่อการนำไปทำละลาย ซ้ำไปกว่านั้นมันเป็นก้อนบิดๆเบี้ยวๆ จนเรียกชื่อรูปทรงไม่ได้ที่พวกเรา 3-4 คนขณะนั้นต้องอมยิ้มไปตามๆกัน และหนักที่สุดก็คือ เจ้ากล่องใหญ่ที่ว่ามีถุงนมนอนกองก้นอยู่ไม่ถึง 15 ถุงด้วยซ้ำ
“กินกี่วัน” “จะพอเหรอ” “คุ้มมั้นเนี่ย” “จะส่งอยู่เหรอ” เป็นคำถามที่น่าจะมีคำตอบอยู่ในตัว แต่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ “เอาไงดี” ฉันถามขอความเห็นจากทุกคน ภายหลังเหลือบเห็นสีหน้าของเธอฉายแววกังวล “เอาของพี่มั้ย วันนี้พี่ให้หมดเลย ในตู้เย็นอีก 20 กว่าถุง ส่งไปให้ลูกเถอะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น และเสียงอื่นๆก็ตามมา “เค้าก็ให้หมด เอาไปเลย ดีกว่าได้นมผสมนะ” “เอาของพี่นะ วันนี้ได้เยอะให้ไปเลยจ้ะ” “เดี๋ยวรอแป๊บ...พี่จะไปเอาที่บ้านมาให้” น้ำใจหลั่งไหลมากับน้ำเสียงที่กระตือรือร้นอยากให้ มันทำให้ฉันผู้ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอดซึ้งใจไม่ได้ ความอบอุ่น เอื้ออาทร ไม่เคยจางหายไปเลยแม้เพียงสักวันในคลินิกเล็กๆที่มีกลิ่นอายของนมแม่แห่งนี้ บางคนที่อุตส่าห์หยิบยื่นนมให้ เป็นพยาบาลที่น้องโจเพิ่งเคยรู้จักด้วยซ้ำ เขาเหล่านี้เกื้อกูลโอกาสให้ลูกชายของเธอที่สามีตั้งชื่อให้ว่า “น้องณัฐ” ได้รับสิทธิอันชอบธรรมที่จะได้กินนมแม่ต่อไป
ฉันเชื่อว่าเขาเหล่านี้เป็น “ผู้ที่มีคุณธรรมขั้นสูง” จากประสบการณ์ที่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะนมแม่สอนในเรื่องการให้โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่มีผลตอบแทน เขาอาจหาญที่จะหยิบยื่น “นมตัวเอง”ให้เธอโดยไม่ต้องการคำตอบ เพียงเพื่อ ”อยากให้” เธอถึงกับน้ำตาคลอหันมาสบตาฉันเพื่อขอความเห็น ก้าวแรกของเธอกับน้ำใจล้นปรี่ที่ทุกคนมีให้ ฉันอยากให้เธอรับไว้อย่างไม่มีข้อสงสัย จากนี้ไปน้ำใจและไมตรีที่เกื้อหนุนเธอในวันนี้ จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
“ โจตัดสินใจเลยนะ ไม่มีใครว่า..ขึ้นอยู่กับโจ แม่ทุกคนในที่นี้สุขภาพดี ดูสมุดสีชมพูได้” ฉันเอ่ยขึ้น “ใช่!! พวกเรารับรองปลอดภัย” บรรดาแม่ๆพากันสำทับ ฉันเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดี มันเป็นความยากยิ่งที่จะตัดสินใจ แต่ฉันคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เธอเลือกหนทางที่เสี่ยงน้อยกว่าให้ลูกคือ “ให้ลูกกินนมแม่คนอื่น” ก่อนที่จะจบลงหนทางสุดท้าย “หนทางสิ้นคิด” ใครบางคนเคยบอกเช่นนั้น นั่น คือ “นมวัว” นมที่ไม่รู้ว่าแม่วัวตัวไหนบ้างมีส่วนร่วมในการสร้างชีวิตให้ลูก หนทางที่เลือก ย่อมดีที่สุดในสภาวะที่ต้องยืดหยุ่น อย่างน้อยที่สุดเลือกแม่นม ย่อมดีกว่าแม่วัวเป็นไหนๆ ”ขอบคุณพี่ๆนะคะที่ช่วยหนูครั้งนี้ ต่อไปหนูจะทำให้ได้ด้วยตัวเอง” เธอกล่าวทิ้งท้ายด้วยหัวใจ พองโต
10 นาที สุดท้าย กล่องนมแม่อยู่ในสภาพพร้อมส่ง “อึ๊บ!! เสียงที่ลอดออกมาขณะที่เธอยกมันขึ้นพร้อมกับปากที่เม้มสนิท มันหนักไม่น้อยฉันตัวใหญ่กว่ายังยกไม่ไหว “เพื่อลูก..แม่ทำได้เสมอ” เธอก้าวเดินกึ่งวิ่งออกจากห้อง ฉันวิ่งตามออกไปส่งแทบไม่ทัน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นภาพเธอกอดกล่องนมแม่แน่น ด้วยความหวงแหน ซ้อนมอ’ไซด์ ที่พี่วาสเต็มใจเป็นสารถี พาเธอบึ่งไปด้วยความรวดเร็ว ในครั้งแรกนี้เธอมีนมส่งไปถึง 74 ถุง เป็นการรวมพลังแห่งความรักเพื่อทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกันและปกป้องให้ “น้องณัฐ” สุขภาพดีแม้ต้องไกลจากอ้อมกอดของพ่อแม่ ฉันไม่สามารถประเมินค่าของมันได้...
ฉันได้เรียนรู้การเดินทางของน้ำนมแม่ที่ไม่ธรรมดา ทำให้หลายๆคนอึ้งแกมประหลาดใจ “หนูต้องเอานมไปบขส. บุรีรัมย์ เพื่อฝากส่งลงไว้ที่บขส.สระบุรี พี่ก๋งเค้าจะขับรถจากค่ายทหารที่ลพบุรี มาที่สระบุรี แล้วเอานมไปส่งให้ลูกที่อ่างทอง แต่บ้านหนูอยู่อำเภอโพธิ์ทองต้องต่อไปอีกประมาณ 29 กิโล รวมๆแล้วทั้งหมดก็ 419 กิโล ค่ำๆก็ถึงบ้านพอดี ” “ โห!! อะไรจะขนาดน้าน..น ” “ห๋า!!เอาใหม่ พูดใหม่อีกรอบ ฟังไม่ทัน” ฉันและบรรดาคุณแม่พากันอุทาน คนที่มีความพร้อมและเชื่อมั่นเท่านั้นถึงจะทำได้ และเรื่องราวเช่นนี้จะสร้างกำลังใจให้ผู้คนอีกมากมาย เราภาวนาขอให้เธอมีแรงกายแรงใจ หยัดยืน ที่จะทำเพื่อลูกต่อไป
เย็นวันนั้น น้องโจโทรมาบอกฉันด้วยน้ำเสียงตื้นตันปนสะอื้นว่าสามีได้รับนมแล้ว เขาตื่นเต้นมากเพราะไม่คิดว่าเธอจะทำได้ ก่อนนี้เธอเล่าว่าสามีเคยอิดออดถึงความยากลำบากที่จะต้องขับรถไปรับกล่องนม “มันยุ่งยากน่าเบื่อ ไหนจะต้องขอนายออกมา” “เสียเวลาอ่านหนังสือ” “กว่าจะขับไปถึงแต่ละทีมันเหนื่อยนะ” สารพัดที่จะหาคำมากล่าวอ้างไว้ก่อน จึงทำให้เธอเกรงใจและลังเล แต่ครั้งนี้
“โจ...พี่ได้รับนมแล้วนะ ดีจังเลย บีบมาเยอะๆนะพี่จะขับรถไปรับเอง....พี่ขอโทษ..... จะไม่บ่น ไม่เบื่ออีกแล้ว โจทำเพื่อลูก พี่จะทำเพื่อโจ พี่ให้กำลังใจนะ...คนดี” คำพูดที่เป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ มันมีความหมายยิ่งนัก ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังต่อสู้เพื่อสิทธิและหน้าที่ในความเป็นแม่ พลังรักของแม่กำลังโอนถ่ายไปหาลูกด้วยความเกื้อกูลของพ่อ ที่เป็นผู้สร้างชีวิตร่วมกัน ฉันถึงกับน้ำตารื้อเมื่อรับรู้เรื่องราวที่น่ายินดี...ระยะทางแม้ไกลห่างไม่เคยจืดจางความรักหัวใจที่เคยร้าวรานกลับชุ่มชื่นอีกครั้ง
ฉันอ่านเจอเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงเคยบรรยายความรู้สึกของการจากพรากลูกไว้ดังนี้
“เมื่อเริ่มรู้ว่าจะพรากจากไกลลูก ความชื่นสุขที่เคยมีพลอยหนีหาย
มีแต่เศร้าเช้าเย็นมิเว้นวาย ทุกข์ไม่คลายแม้จะผ่านนานเป็นเดือน
เห็นลูกเขา เศร้าใจ ได้แต่คิด ด้วยดวงจิตป่วยใจคล้ายถูกเฉือน
ภาพความหลังครั้งใดไม่เคยเลือน ได้แต่เตือนตอกใจให้ต้องตรม
ฝากความรักมากมายไว้กับลูก ความพันผูกมีมากจริงยิ่งขื่นขม
อุ้มท้องมาด้วยหวังจะชื่นชม แต่ต้องล้มเลิกไปเมื่อไกลกัน
ตะวันคล้อยลาลับหลับหรือตื่น ยามค่ำคืนทุกข์ใดได้แต่ฝัน
ชอกช้ำใจคิดถึงลูกทุกวี่วัน แล้ววันนั้นวันไหนหนอได้คลอเคลีย”
ฉันได้รับข้อความหนึ่งที่ส่งมาในช่วงเย็น “ขอบคุณดวงอาทิตย์ ขอบคุณดวงจันทร์ ขอบคุณคืนและวัน ที่ทำให้ฉันพบเธอ” น้องโจทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้ เพราะฉันเคยใช้เพจเจอร์ส่งอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ที่ผ่านมาจากนั้นไม่เคยส่งกลอนหวานให้ใครแม้แต่สามี สำหรับน้องโจ ฉันตอบกลับด้วยความจริงใจ “แม่ที่รักและปรารถนาดีต่อลูกย่อมให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขาและอย่ามองว่าลำบากถ้านี่คือสิ่งที่เราเลือก ศรัทธาต่อตัวเองเถอะ...รู้ไว้เพียงว่าน้องณัฐ เค้าจะรักและศรัทธาต่อแม่ยิ่งกว่าอื่นใด พี่ว่าเค้าโชคดีที่สุดในโลกที่มีแม่ชื่อโจ ที่เสียสละเพื่อเค้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว” ฉันรู้ภายหลังว่าเธอถึงกับร้องไห้ เมื่อได้รับข้อความนี้ ฉันอยากให้กำลังใจที่มากกว่านี้ เพราะเธอสู้จากมาเพราะหน้าที่ ไม่มีแม่คนไหนอยากทิ้งลูกไว้ในอ้อมกอดคนอื่นถ้าไม่จำเป็น
“ความหวังของโจคือของเราทุกคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นะ...อย่าได้หมดกำลังใจเพราะถ้าล้มเลิกก็เท่ากับว่าได้ทำลายอนาคตของลูกด้วย พี่ยังเคียงข้างเสมอนะจ้ะ” ฉันส่งข้อความหาเธออีกครั้งในบางคราวที่เธอเริ่มท้อแท้ เวลาผ่านไปความมุมานะในการบีบเก็บน้ำนม โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอขาดไม่ได้ บางครั้งถึงกับอดหลับอดนอน เพื่อทำสต๊อกน้ำนม และส่งไปให้ทันกับความต้องการของลูก ไม่เพียงเท่านี้เธอยังทำหน้าที่ “ทูตนมแม่” โดยแนะนำ ชักชวน ให้แม่มือใหม่หลายต่อหลายคน รวมถึงกลุ่มบุคลากรที่มาดูงาน เห็นผลดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และรับรู้ถึงวิธี “บีบ..เก็บ..แพ็ค..ส่งน้ำนม” อย่างมีคุณภาพ
ลึกไปกว่านั้นพวกเราได้เรียนรู้เรื่องของ “เกลือ” ที่เธอสาธยายได้อย่างออกรส “เกลือเม็ดละเอียดมันเปลือง ละลายง่าย ต้องใช้เกลือเม็ดหยาบที่เข็นขายตามบ้าน ถ้าให้ดีกว่านั้นต้องเป็นเกลืออุตสาหกรรมเม็ดใหญ่ๆ มันเป็นเกลือทะเลแท้ๆ เวลา ผสมกับน้ำแข็งแล้วจะเก็บความเย็นได้ดี ไปถึงบ้านนมยังแข็งเหมือนเดิม ” หลายคนชื่นชมในความเพียร และความตั้งใจ เธอกลายเป็นต้นแบบของผู้ที่เกิดความท้อแท้ เพื่อให้เค้าเหล่านั้นเกิดพลังเหมือนดั่งที่เธอมี
จวบจนวันนี้เธอสามารถให้ลูกกินนมแม่ได้อย่างเดียว 6 เดือน โดยการส่งผ่านรถประจำทาง กว่า 14 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 ถุง ถุงละ 6-7 ออนซ์ ที่ผ่านการจัดวางให้แข็งด้วยรูปทรงที่สวยงาม พร้อมด้วยลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อย บ่งบอกถึงความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน อีกทั้งยังจดบันทึกรายละเอียดต่างๆในการจัดส่งทุกครั้ง บอกได้แม้กระทั่งรายจ่ายซึ่งสรุปเบ็ดเสร็จด้วยตัวเลขที่เธอแจงว่า “กล่องโฟมไม่ต้องซื้อ...ขอที่ห้องยา น้ำแข็งเกล็ด 20 บาท เกลือ 10 บาท ค่าฝากส่ง 100 บาท ค่าน้ำมันไปกลับของสามีครั้งละ 500 บาท อ้อ! ยังมีค่าถุงเก็บนมอีก ใบละ 1บาท 50 สตางค์ รวมแล้ว 6 เดือน หนูจ่ายไปไม่ถึง 8,000 บาท ได้กำไรด้วยซ้ำเพราะน้องณัฐยังไม่เคยป่วยเลย สรุปได้ว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม“
และเธอยังย้ำเสมอถึงแม่แบบที่ทำให้เกิดพลังที่จะก้าวต่อไป “หนูเคยถามพี่หนิงตอนที่ลูกพี่เค้าใกล้จะ 6 เดือนว่าจะบีบไปถึงเมื่อไหร่ พี่เค้าก็ยิ้มและบอกว่า “เพิ่งได้ครึ่งทางเอง” หนูเลยได้แรงบันดาลใจจากพี่เค้านี่แหล่ะ ตอนแรกกะว่าแค่ 6 เดือนคงพอ ได้ฟังแล้วมาคิดใหม่ หนูจะบีบไปเรื่อยๆ เป็นปีๆเลย”
เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วมิตรภาพที่ได้รับอย่างอบอุ่น ความเอื้ออาทร และความเห็นอกเห็นใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจของแม่กลุ่มเล็กๆ ที่หยิบยื่นให้ซึ่งมีทั้งเพื่อนๆ พี่ น้อง ในเส้นทางเดียวกัน จากคนที่ดูแข็งๆ พูดจาห้วนๆ ไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของใคร หล่อหลอมให้เธอเปลี่ยนไปและ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ โดยเฉพาะความรู้สึกนึกคิด “ไม่น่าเชื่อว่าน้องโจ จะเปลี่ยนเป็นคนละคน จนจำไม่ได้เลยว่าภาพเดิมเป็นยังไง” ทุกคนลงความเห็นเช่นนั้น
และคำพูดของเธอในวันหนึ่ง ที่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง “หนูเคยเป็นผู้รับมามากแล้ว ต่อจากนี้หนูจะขอทำหน้าที่เป็นผู้ให้บ้าง ทุกคนดีกับหนู” เธอทำตามอย่างที่พูดไว้ไม่มีผิด ความเอื้ออาทร มีน้ำใจ ผนวกกับน้ำเสียงที่นุ่มนวล และความใส่ใจต่อผู้คนไม่เว้นแม้เพียงเล็กน้อยทำให้หลายคนชื่นชมและประทับใจ
ฉันได้เรียนรู้ว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่เพียงทำให้ลูกได้อาหารที่มีคุณค่า แท้จริงคือการพัฒนาจิต ขัดเกลาชีวิต และเรียนรู้ธรรม- สอนให้เข้าใจธรรมชาติ เราจะก้าวย่างไปสู่ความรักที่บริสุทธิ์ขึ้น ไร้เงื่อนไขมากขึ้น และละเอียดขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด
ฉันเชื่อเสมอว่าสังคมเล็กๆ แห่งนี้...เราสามารถร่วมกันทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ ความยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือเกียรติยศใดใด หากแต่คือ "ใจ" ที่พวกเราทั้งหลายไม่ต้องลงแรงลงทุนมาก เพียงแค่เราเผื่อแผ่ให้กัน เท่านี้ก็เพียงพอให้สังคมเล็กๆ
แห่งนี้เกิดศานติได้
อังสนา วงศ์ศิริ
25 มีนาคม 2553
ผมดดนมแม่จนถึง 4 ขวบ ถึงแม้แม่จะจากผมไปแล้ว ผมยังรักและคิดถึงแม่เสมอ เชื่อผม นมแม่ อ้อมกอดแม่ ดีที่สด รักแม่ค้บ