ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาของไทยเป็นการพัฒนามนุษย์ให้มีความสมบูรณ์และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ฉะนั้น การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวไว้ว่า การศึกษาก็เพื่อกระทำให้หมดสิ้นซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์ การศึกษามีขอบเขตที่กว้างขวางมาก ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น แต่กินความไปถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยวิธีการต่างๆด้วยตนเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนก็ตาม และนอกจากแนวคิดบูรณาการระหว่างวิชาต่างๆแล้ว การบูรณาการการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน ผู้สอนต้องมีการบูรณาการวิชาที่สอนกับคุณธรรมจริยธรรมและวัฒนธรรมด้วย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงการใช้ความรู้นั้นให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงที่มีคุณค่าต่อตนเองและต่อผู้อื่น เช่น ครูที่สอนการบวกเลขในวิชาคณิตศาสตร์ก็ต้องสอนให้ผู้เรียนใช้การบวกให้เป็นประโยชน์ในทางซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นายกราชบัณฑิตยสถาน อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เคยกล่าวไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้มี 6 องค์ประกอบ คือ การถ่ายทอด การฝึก การอบรม การสืบสวน การสร้างสรรค์ และการสร้างความรู้ และวิธีการเรียนรู้ที่จำเป็นและสิ่งสำคัญที่สุด คือ
1. ต้องให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง
2. มีวินัยในตนเอง
3. ให้โอกาสผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
4. ผู้เรียนจะเรียนรู้ศีลธรรมจรรยาได้มากเมื่ออยู่ท่ามกลางของบรรยากาศที่ไม่แน่นอน และมีประเด็นปัญหาในเรื่องศีลธรรมที่ต้องตัดสินใจ
5. โรงเรียนควรหากิจกรรมเสริมที่ไม่ใช่วิชาการในชั้นเรียน
6. ศีลธรรมจรรยาเป็นเรื่องที่สอนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องเอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์โดยตรง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือหรือกระบวนการในการพัฒนาคน พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการพัฒนาคนว่าต้องมีครบทั้ง 4 ด้าน คือ
1. ภาวิตกาย แปลว่า มีกายที่เจริญแล้วหรือพัฒนาแล้ว กล่าวคือ มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางกายได้อย่างดีและอย่างได้ผลดี มีความสมบูรณ์ของชีวิตในด้านกาย
2. ภาวิตศีล แปลว่า มีศีลที่เจริญแล้วหรือพัฒนาแล้ว กล่าวคือ มีพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาแล้ว ดำรงตนอยู่ในวินัย มีศีลธรรม มีความสัมพันธ์ทางสังคมในลักษณะสร้างสรรค์และก่อสันติสุข
3. ภาวิตจิต แปลว่า มีจิตใจที่เจริญแล้ว กล่าวคือ มีจิตใจที่ฝึกอบรมมาดีแล้ว สมบูรณ์ด้วยสุขภาพจิต สมรรถภาพจิตและสุขภาพจิต
4. ภาวิตปัญญา แปลว่า มีปัญญาที่เกิดแล้วหรือพัฒนาแล้ว และมีปัญญาที่มีอิสระจากการครอบงำของกิเลส มองดูก็เข้าใจเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นและแรงจูงใจเคลือบแฝงรู้เท่าทันธรรมดาจนมีความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์
ดังนั้น คนเราเกิดมานอกจากจะประกอบด้วยสังขารแล้ว คนที่สมบูรณ์ตามความมุ่งหมายของการศึกษาจะต้องมีความเจริญทั้งทางด้านสติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันพัฒนาคนให้มีสิ่งที่จำเป็นเหล่านี้ให้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของคน และคนที่ได้รับการพัฒนาหรือพัฒนาตนเองแล้วต้องมีการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม แนวทางการพัฒนามี 2 ลักษณะ คือ คนอื่นมาพัฒนาให้ หรือ เราพัฒนาตัวเราเอง ซึ่งวิธีการหลังเป็นวิธีที่ดีและมีคุณค่าที่สุด โดยเฉพาะบุคคลที่พ้นจากการศึกษาแล้วแต่ต้องเป็นการพัฒนาเพื่อประโยชน์ในทางสุจริตต่อตนเองและสังคม ฉะนั้น การเรียน(รู้) จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกสถานที่ เราจำเป็นต้องร่วมกันสร้างลักษณะนิสัยแห่งการเรียนรู้ให้เกิดแก่ทุกคนโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในวัยเรียน (Learning Person)
สวัสดีครับ
ไม่มีความเห็น