ในช่วงวันขอบคุณนักกิจกรรม (ถนนคนมีฝัน) ผมและทีมงานได้จัดทำหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งขึ้นมาเพื่อมอบกำนัลให้กับบรรดาผู้นำกิจกรรมที่มาร่วมงานในวันนั้น (4 กุมภาพันธ์ 2554)
ปีที่แล้ว (2552) ผมพูดคำว่า “การถอดความรู้” บ่อยมาก บ่อยจนนิสิตและเจ้าหน้าที่นำไปล้อเลียนแบบน่ารักๆ บนเวทีงานขอบคุณนักกิจกรรม ครบรสทั้งโหด มันส์..ฮา
ปีนี้ทั้งปี (2553) ผมเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ถอดบทเรียน” ถี่มากขึ้น ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็มีความหมายไม่ต่างกันนัก เพราะไม่ว่าจะนิยามความหมายแบบใด จัดกระทำ หรือขับเคลื่อนด้วยกระบวนการใด ผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งอันพึงปรารถนาต่อนิสิต บุคลากรและองค์กรอยู่ดี
ผมเชื่อและศรัทธาว่าการ “ถอดบทเรียน” คือกระบวนการที่จะทำให้เรา “ก้าวข้ามและพ้นไปจากวังวนอันเป็นปัญหาเดิมๆ ของการพัฒนากิจกรรมนอกห้องเรียนของนิสิต”
ผมเชื่อและศรัทธามากจนถึงขั้นสร้างวาทกรรมให้ทีมงานได้รับช่วงกันเป็นทอดๆ ว่า “ปัญหาเก่าห้ามเกิด ปัญหาใหม่ไม่ว่ากัน” และนั่นหมายถึงว่า เมื่อจัดกิจกรรมใดๆ แล้ว ต้องมีการมา “นั่งจับเข่าพูดคุย” เพื่อทบทวนในสิ่งที่ทำว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จ และอะไรบ้างคือสิ่งที่ล้มเหลว หรือบกพร่อง เพื่อนำมาเป็น “วัตถุดิบ” ในการที่จะท้าทายไปสู่การปรับปรุงและแก้ไข ด้วยหมายใจว่าปัญหาเดิมๆ นั้นจะไม่เกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนดูเหมือนว่า “เราทำงานเหมือนคนที่ย่ำอยู่กับที่ และเป็นมือใหม่หัดขับอยู่เรื่อยไป”
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ผมชวนให้สภานิสิตได้ถอดบทเรียนในแบบที่นิสิตถนัด
ชวนให้ผู้นำนิสิตมานั่งสะท้อนผลการดำเนินงานร่วมกัน
เรียกในภาษาของพวกเขาว่า “สรุปงาน” นั่นเอง
แต่เมื่อสังเกตการณ์ดูแล้ว
ก็ไม่เห็นภาพแจ่มชัดและลึกพอที่จะเป็นกระบวนการ
“ถอดบทเรียน” ที่ดีได้
ดังนั้นผมจึงหารือกับทีมงานสภานิสิต
เพื่อปรับแผนมาสู่การถอดบทเรียนผ่านเอกสารอันเป็นแบบรายงานผลการจัดกิจกรรมที่องค์กรต่างๆ
ได้สรุปและรายงานต่อมหาวิทยาลัยแทน
ผมคิดว่านั่นคือการเริ่มต้นในอีกวิธีการหนึ่งของการถอดบทเรียนด้วยเหมือนกัน
เพราะถ้าข้อความที่ปรากฏในเอกสารผ่านการร่วมคิดร่วมสังเคราะห์จากผู้นำในองค์กรนั้นๆ
จริง ก็ย่อมนำข้อมูลทั้งปวงนี้ไปขยายผล
ต่อยอดในทางกิจกรรมนอกห้องเรียนได้
แต่ถ้าข้อมูลนั้นเป็นเท็จ นิสิตยกเมฆ หรือเดาสุ่มส่งมายังมหาวิทยาลัย
ก็คงต้องถอยกลับมา “ถอดบทเรียน”
กระบวนการคิดของนิสิตในองค์กรแล้วกระมังว่ากำลังคิดอะไรอยู่...และเห็นค่าของกิจกรรมนอกห้องเรียนแค่ไหน
และมองการพัฒนาชีวิต
หรือองค์กรที่นิสิตสังกัดอยู่ในทิศทางใด...และด้วยกระบวนการใด
ครับ, ถึงตรงนี้ ผมก็ยังเชื่อและศรัทธาว่า
ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเล่มเล็กๆ
เล่มนี้เป็นผลผลิตอันเกิดจาการจัดกิจกรรม
หรือเรียนรู้ชีวิตผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในองค์กร
หรือกิจกรรมนั้นๆ ได้ถอดบทเรียนออกมาว่าพบเจออะไรมาบ้าง
โดยมีประเด็นง่ายๆ ให้พุ่งมอง อาทิ จำนวนคนที่เข้าร่วม
ผลที่ได้รับจากการเข้าร่วม อุปสรรค
ปัญหาและแนวทางการแก้ไข
ตลอดจนปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ...
อย่างไรก็ดี
ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่นิสิตได้สะท้อนบทเรียนออกมานั้นเป็นทั้งเรื่องจริง
หรือแม้แต่จริงบ้างไม่จริงบ้างก็เถอะ
แต่สำหรับผมแล้ว ผมยังมองว่าข้อมูลที่ปรากฏนั้น
สามารถนำไปใช้เป็นโจทย์การเรียนรู้ได้อยู่ดี
อย่างน้อยก็ให้องค์กรนิสิตที่เกี่ยวข้อง
ได้หันกลับไปทบทวนอีกรอบว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงในขณะจัดกิจกรรมนั้นๆ
สอดรับ หรือสอดคล้องกับที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้หรือไม่...
ครับ,...ถ้าเป็นไปตามที่ผมคิด
การถอดบทเรียนในอีกมิติหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้วล่ะ
หากแต่เป็นการ “ถอดบทเรียนซ้อนบทเรียน” เท่านั้นเอง
!
หนังสือ “ถอดบทเรียนนอกห้องเรียน” เล่มนี้เป็นความร่วมมือกันระหว่างสภานิสิตและกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตามกระบวนการของการจัดการความรู้ ผ่านการสรุปงาน หรือถอดบทเรียนเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร ซึ่งเป็นการขยายผลจากเวทีการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553 ของสภานิสิต ณ ห้องประชุม 1 กองกิจการนิสิต
การประชุมดังกล่าว เป็นการประชุมสรุปงานขององค์กรนิสิตที่ประกอบด้วยสภานิสิต องค์การนิสิตและสโมสรนิสิตคณะ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการ “ถอดบทเรียน” เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านกิจกรรมในรอบเดือนมิถุนายน-กันยายน 2553 เพื่อค้นหาความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมของนิสิต อันเป็น “ข้อมูล” หรือ “ต้นทุน” ในการที่จะต่อยอดพลังความคิด และ “วิธีปฏิบัติ” หรือ “ปัญญาปฏิบัติ” ตลอดจนเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก จนทำให้กระบวนการพัฒนากิจกรรมสะดุด หรือก้าวข้ามแต่ไม่พ้นวังวนเดิมๆ จนเป็นภาพสะท้อนของการไม่มี “พัฒนาการ”
ในหนังสือถอดบทเรียนนอกห้องเรียนเล่มนี้ จึงรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านกิจกรรมขององค์กรนิสิต ซึ่งคณะทำงานได้คัดกรองกิจกรรมจำนวน 46 โครงการของสภานิสิต ชมรมและกลุ่มนิสิตมาจัดรวบรวมไว้ อันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอีกจำนวนมาก โดยกิจกรรมที่นำมารวบรวมไว้มีลักษณะที่สำคัญคือเป็นกิจกรรมที่แต่ละองค์กรได้จัดต่อเนื่องในแต่ละปี เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นใหม่แต่มีลักษณะเด่นในเรื่องรูปแบบแนวคิด และผลสัมฤทธิ์ หรือแม้แต่กิจกรรมที่สะท้อนปัญหาบางประการที่ท้าทายต่อการปรับแก้ด้วยกระบวนคิดของนิสิต และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี
จากข้อมูลการถอดบทเรียนครั้งนี้
จะเห็นปรากฏการณ์ในเชิงบวกที่ดีต่อการพัฒนาศักยภาพนิสิตผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน
(กิจกรรมนอกหลักสูตร : กิจกรรมเสริมหลักสูตร :
กิจกรรมพัฒนาศักยภาพนิสิต) ได้เป็นอย่างดีอยู่หลายประเด็น เช่น
เกิดกระบวนคิดเรื่องจิตอาสา
แนวคิดเรื่องการทำงานเป็นทีม แนวคิดเรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
แนวคิดเรื่องการกล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
แนวคิดเรื่องการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
แนวคิดเรื่องการเรียนรู้มิตรภาพความเป็นเพื่อน
ทั้งจากนิสิตกับนิสิตและนิสิตกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
แนวคิดเรื่องบทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาและเจ้าหน้าที่ที่มีผลต่อการช่วยให้งานบรรลุวัตถุประสงค์แนวคิดเรื่องการเรียนรู้วิถีชีวิตอันเป็นวัฒนธรรมของชาวบ้าน
แนวคิดเรื่องการบริหารจัดการค่ายที่เกี่ยวโยงกับการประสานชุมชน
เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็พบข้อมูลที่เป็นจุดอ่อนของการขับเคลื่อนอยู่หลายประเด็นที่ควรต้องหยิบยกมาถกคิดเพื่อข้ามพ้นให้จงได้ เช่น ปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์กิจกรรม ปัญหาการวางแผนระยะยาว ปัญหาการติดต่อประสานงานทั้งในระดับองค์กรและชุมชน ปัญหาเรื่องงบประมาณ ปัญหาเรื่องแนวคิดและทักษะการทำงานในชุมชน ปัญหาเรื่องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำไปสู่การสรุปผลการจัดกิจกรรม หรือถอดบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติของการสนทนาและการจัดกระทำข้อมูลเป็นเอกสารที่เผยแพร่ได้ เป็นต้น
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้
จึงสรุปได้ว่าข้อมูลที่สะท้อนข้างต้น
ล้วนเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อการนำไปสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดที่จะพัฒนาศักยภาพนิสิตผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียนได้เป็นอย่างดี
เพราะถือว่าเป็นการถอดบทเรียนเชิงลึกรายกิจกรรม
รวมถึงยึดโยงให้เห็นภาพรวมในเชิงปรากฏการณ์ได้อย่างน่าสนใจ
โดยในลำดับต่อไปจะได้ขยายผลไปสู่การถอดบทเรียนในกลุ่มขององค์การนิสิตและสโมสรนิสิตที่เป็นองค์กรบริหารหลักของนิสิต
เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและทะลุมิติของการเรียนรู้ไปสู่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นได้จริง ย่อมยืนยันได้ว่ากระบวนการพัฒนาศักยภาพนิสิตผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตรนั้น ได้เดินทางมาในทิศทางที่ถูกต้อง โดยมีกระบวนการของการจัดการความรู้ ผ่านการถอดบทเรียนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนนั่นเอง
.....
หมายเหตุ : หนังสือเล่มดังกล่าว ยังคงรอเวลาในการถูกนำไปสังเคราะห์ที่ลึกไปกว่าเดิม บางทีอาจสามารถทำเป็นงานวิจัย หรืองานสังเคราะห์เล็กๆ ด้วยก็ได้ หรือแม้หากไม่สามารถขับได้อย่างที่คิด ผมก็เชื่อว่า "ไม่สูญเปล่า"
เพราะอย่างน้อยก็เป็นจดหมายเหตุขององค์กรได้อยู่ดี ...(ได้เป็นอย่างดี)
น่าสนใจดีนะคะ แจกบ้างหรือเปล่า
อยากได้จัง
Thank you.
One phrase in the circle diagram catches a point to ponder:
-- we only have ourselves --
We cannot rely on help from government offices, charity NGOs, foreign aids and outsiders. We have to work together, rely on ourselves!
สวัสดีครับ คุณดวงเกษมสุข
ผมต้องขออภัยจริงๆ เพราะหนังสือเล่มนี้แจกจ่ายกันเกลี้ยงเพียงพริบตาครับ แต่ตอนนี้กำลังเสนอจัดทำขึ้นใหม่ ซึ่งผมจะส่งไปให้อีกรอบ นะครับ
we only have ourselves
..
ผมเห็นด้วยครับ, เราต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อและศรัทธาว่า เราต้องช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด ไม่เป็นภาระของใคร หรือรอให้ใครๆ มาโอบอุ้มจุนเจือให้มากมายก่ายกอง เพราะนั่นคือวิธีแห่งความเข้มแข็ง-ยั่งยืนอย่างที่ควรจะเป็นกระมัง..
ขอบคุณครับ
อยากได้หนังสือถอดบทเรียนนอกห้องเรียน เพื่อเอาไปเป็นตัวอย่างในการสอนเด็กนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ม.1-3 ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ