มองตนเองอย่างจริงใจ ได้อะไรมากขึ้น


      กราบสวัสดีท่านผู้สนใจ ทุกท่าน พบกันอีกครั้งในบล็อก "คุยกันวันเสาร์-อาทิตย์" วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเป็นวันพักผ่อนของหลายท่าน สำหรับประเด็นที่จะพูดกันในวันนี้ ต่อจากเมื่อคราวที่แล้ว ที่เราพูดในเรื่อง การมองแต่ดี มีแต่สุข  วันนี้เลยอยากชวนคุย ในเรื่อง "มองตนเองอย่างจริงใจ ได้อะไรมากขึ้น"  กันครับ
       หลายท่านคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "อย่าโกหกตัวเอง" หรือ "อย่าหลอกตนเองอีกเลย" นั่นเพราะปัจจัยหลายๆ เหตุการณ์ สถานการณ์ หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราต้องทำ หรือจำเป็นต้องทำ ต้องเสแสร้งแกล้งทำไปต่างๆ นานา เพื่อสอดรับกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และปัจจัยเหล่านั้น

สำคัญอยู่ที่ใจ ไม่ยึดติด
     ข้อนี้สำคัญมากครับ การมองตนเองอย่างจริงใจ จะทำให้เรารู้ตนเองได้ดีขึ้น มากขึ้น มองเห็นเหตุเห็นผล ในปัจจุบันขณะได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน การมองตนเองอย่างไม่จริงใจ จะทำให้เรารับกับสภาพที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันขณะไม่ได้ เช่น เห็นคนอื่นสวย หล่อ แต่มองตนเอง ฉันไม่สวย ไม่หล่อ เหมือนเขา ก็อยากจะสวย จะหล่อบ้าง รับกับสภาพปัจจุบันไม่ได้ จึงต้องแต่งเติม เสริม พอก กันยกใหญ่ นั่นเพราะใจไปยึดติดว่าต้องสวย ต้องหล่อ นั่นคือ จิตไปยึดติดกับความอยาก ความต้องการ ที่จะเห็น จะมี จะเป็น และร่างกายตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ให้เกิดความสุขทางใจ
      เมื่อมองตนเองแล้วไม่พอใจ หรือไม่ยอมรับในตนเองเสียแล้ว นั่นคือยอมรับในสิ่งที่ตนเองมีไม่ได้ เช่น ไม่สวย ก็อยากจะสวย สวยอยู่แล้ว ก็อยากจะสวยยิ่งขึ้น หรือไม่หล่อ ก็อยากจะหล่อ หล่ออยู่แล้วก็อยากหล่อเพิ่มขึ้น นั่นคือต้องทำอะไรเพื่อสนองความต้องการของจิตใจตนเองอย่างไม่มีสิ้นสุด ถึงแม้แก่ไปก็ต้องสวย ต้องหล่ออยู่ นั่นเพราะจิตกระหวัดรัดตรึง หรือยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่พรางเอาไว้ เช่นความสวย ความหล่อ นี้แล้ว เมื่อมันไม่สวย ไม่หล่อ มันก็เป็นทุกข์เมื่อเห็นตนเองโทรมเข้าทุกข์ เมื่อมันสวย มันหล่อ มันก็เป็นสุขเมื่อเห็นตนเองสวย ตนเองหล่อ และสุขที่สุดเมื่อเห็นคนอื่นมองตนเองว่าสวย เราหล่อ ด้วยเช่นนี้

ทุกอย่างย่อมมีความเสื่อม ความสูญ
    ที่นี้หากเราพิจารณาจะมองเห็นว่า ตัวเราเอง ย่อมมีความเสื่อม ความสูญ เป็นธรรมดา ที่พูดเช่นนี้ หลายคนอาจบอกว่าไปคิดทำไม ให้ใจเศร้าหมอง ซึ่งจริงๆ แล้ว ร่างกายของเราในปัจจุบันขณะนี้ ก็ย่อมมีเกิดดับ เป็นธรรมดา เช่น ผม เส้นขน  คิ้ว หนวด เครา ย่อมมีหลุด ร่วงไปเป็นธรรมดา ไม่นานก็ขึ้นมาใหม่ เกิด ดับ เช่นนี้ อยู่ร่ำ  เด็กฟันหัก ก็มีฟันขึ้นมาใหม่  แม้กระทั่งจิตของเราก็เช่นกัน มีเกิดดับเช่นนี้อยู่เสมอ ที่นี้ต้องมาถามว่าเรายอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้นได้ไหม ? ก็ต้องถามอีกว่า เราหยุดสภาพที่เห็น ที่เป็น ทื่มีเช่นนี้ได้หรือไม่ ? เช่นกัน
     ฉะนั้น หากเราจะมองตนเองอย่างนี้ คิดอย่างนี้ เราจะเป็นทุกข์หรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะอะไร เพราะการมองตนเองตามความเป็นไป ตามความเป็นจริงของตัวเราเอง จะทำให้เรายอมรับ และเข้าใจตนเองมากขึ้น จริงใจกับตนเองมากขึ้น ก็เป็นอย่างนี้   ก็มันเป็นเช่นนี้  จิตจะไม่ทุกข์กับสิ่งเร้าที่เกิด นั่นเพราะ เราระลึกรู้ รู้ตนเองอยู่เสมอนั่นเอง

มองตนเองอย่างเชื่อมั่นและสร้างสรรค์ สร้างพลัง สร้างศรัทธา
        พูดไปพูดมา หลายท่านอาจบอกว่า เป็นธรรมะ ไป จริงๆ แล้ว การมองตนเองนั้นเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เรามองตนเอง ทำให้เราเข้าใจ ยอมรับ และปรับสภาพตนเองได้ดียิ่งขึ้น จิตย่อมไม่ทุกข์  ในการทำงานก็เช่นกัน หากหน่วยงานหรือองค์กรหันมามองตนเอง แล้ว ก็จะเข้าใจ ยอมรับ ถึงสิ่งที่มี สิ่งที่เห็น สิ่งที่เป็น นั่นคือ ในเรื่องจุดเด่น จุดด้อย ขององค์กรได้ดี และ มองเห็นถึง แนวทางหรือโอกาสในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค หรือ ภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมาย หรือความสำเร็จขององค์กรที่วางไว้  ดังนั้น การมองตนเอง ต้องเริ่มจากตนเองก่อนเป็นสำคัญ นั่นคือ เริ่มจากตัวเราเองก่อน ยอมรับ และเข้าใจ เราจะรู้ถึงสมรรถนะและความสามารถในตนเอง ที่มี ที่เห็น ที่เป็น ที่ซ่อนเร้น  และสมรรถนะหรือความสามารถที่ขาดตกบกพร่อง จึงจะเป็นผลดี คือ เป็นแนวทางในสร้างเสริมสมรรถนะที่ขาดหรือบกพร่องไป ให้สมบูรณ์  และยังเป็นภูมิคุ้มกันตนเอง เพื่อเสริมศักยภาพหรือสร้างภูมิต้านทานให้กับตนเองต่อภัยคุกคามอันเป็นอุปสรรคของความสำเร็จ หรือเป้าหมายที่วางไว้
       จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่า หากให้งานหนึ่งๆ ที่ ยาก หรือ ขัดกับภาวะจิตใจ เช่น ถูกบังคับ ขู่เข็ญ ทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เหนื่อยล้า ท้อแท้  เศร้าใจ เสียใจ โกรธเคือง สิ่งเหล่านั้นทำให้เรามองเห็นว่า งานที่ทำเป็นทุกข์ มากกว่าเป็นสุข เพราะจิตเราไปยึดติดกับสิ่งเร้า ที่เห็น ที่เป็น ที่มี ทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ แต่หากเราคิดเสียว่า งานที่เราทำนั้น เป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา นั่นคือช่วยเพิ่มสมรรถนะให้กับเรามากขึ้น เช่น ให้งานยากๆ ที่ซับซ้อนมา เราอาจต้องมีการวางแผน ต้องคิดวิเคราะห์ในงานนั้น อาจต้องมองในภาพรวมทั้งหมด หรืออาจต้องไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม และตรวจสอบความถูกต้องในงานนั้น  หรืออาจต้องติดต่อสอบถามกับผู้อื่น หรือได้รับความร่วมมือจากเพื่อนๆ ในการทำงาน เพื่อผลสัมฤทธิ์ให้งานประสบความสำเร็จ ซึ่งหากเราไล่เรียงลำดับจัดทำเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว จะทำให้เรารู้ว่า งานที่เราทำขณะนี้อยู่ที่ใด และสำเร็จไปแล้วเท่าไหร่ เหลืออีกเท่าไหร่ ถึงจะบรรลุเป้าหมาย และเมื่องานสำเร็จแล้ว จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าเราทำได้ สร้างศรัทธาเกิดขึ้นในตนเอง อันเป็นพลังสร้างสรรค์ หรือพลังบวกให้กับตนเอง

มองตนเองอย่างจริงใจ ได้อะไรมากขึ้น
            ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว จะเห็นว่า การมองตนเองอย่างจริงใจนั้น ถือเป็นหลักสำคัญในความสำเร็จ  ที่จะสร้างความเชื่อถือ เชื่อมั่นในตนเอง รวมถึงสร้างการยอมรับในตนเอง อันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจตนเองเป็นอย่างดี หากมองไกลออกไปจะพบว่า การสร้างสังคมที่ดี หรือสังคมแห่งการสร้างสรรค์ องค์กรที่ดี หรือองค์กรที่สร้างสรรค์นั้น ก็มีรากฐานมาจากความจริงใจหรือตั้งใจจริงเป็นอันดับแรก นั่นคือ การสร้างความเข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกัน อันจะพลังแห่งการสร้างสรรค์ ที่จะทำให้ประสานสามัคคีให้เกิดขึ้นแก่กัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือเกิดองค์กรแห่งความสุข หรือสังคมสุขภาวะ ดังนั้นการสร้างองค์กรแห่งความสุขหรือสังคมแห่งความสุขนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงปัจจัยที่เป็นวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่ที่จิตใจ นั่นคือความเข้าใจและการยอมรับ อันนำไปสู่การพัฒนาที่สร้างสรรค์และยั่งยืน สร้างเชื่อมั่น ศรัทธาให้เกิดขึ้น เรื่องนี้จึงเป็นข้อเสนอแนะในการสร้างสังคมแห่งความสุขในการทำงานอีกประการหนึ่งครับ

 20 กุมภาพันธ์ 2554

หมายเลขบันทึก: 427424เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2011 17:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ผมเห็นด้วยกับที่คุณกล่าวมาทุกประการเลยครับ พยายามที่จะคิด และทำตาม แต่เหมือนมีอะไรมาขัดขวาง จึงยังทำตามไม่ได้ แต่จะพยายามต่อครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ข้อคิดดีๆ

ท่านอาจารย์พุ้งพิ้ง ครับ

  • ขอบคุณมากครับที่แวะมาเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจครับ 

     หลายเรื่อง.....ตรงกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กร....ความเครียดหลั่งสารพิษเข้าไปในสมอง...จิตใจ...กระแสโลหิตที่ไหลเวียนไปทั่วอณูขุมขน.......บุคลากรทุกคนได้รับการบ่มเพาะให้สุขสบายกับวิธํทำงานวันละ....1 ชาม...แล้วรอคำสั่งให้เอาชามไปล้างเพื่อรอตักข้าวใหม่...ในวันรุ่งขึ้น....ไม่คิดออกแบบกิจกรรมเอง...รอ...คอย...เพื่อจะลอกเลียนแบบ......เพื่อนที่ก้าวไปก่อน...1 ก้าว...เสมอ...การเกรี้ยวกราดไม่ทำให้บรรยากาศสร้างสรรค์ทำงานดีขึ้นเลย....3 เดือนแห่งการปฏิรูป...ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง.....ยังคงมาทำงานสาย....และเฉื่อยแฉะกับการทำงานที่เหมือนเดิม.......การปรับปรุงระบบ...ขวัญกำลังใจโดยเพิ่มค่าตอบแทน...ไม่ให้ทำคนพัฒนาขึ้นเลย.....สิ้นเดือนเมษายน 2554 หากไม่เปลี่ยนแปลง.......ข้าพเจ้าจะเดินออกจากที่นี่เพื่อให้เขาเสวยสุขต่อไป..วันละ 1 ชาม

เรียน ท่านอาจารย์ Ajankoy Ico48 ครับ

  • ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงนะครับ ที่แวะมาเยี่ยมเยือนและแสดงความคิดเห็นครับ
  • ในเรื่องดังกล่าวเป็นประโยชน์กับผมมาก เพราะทำให้ผมได้มองตนเองอีกครั้งครับ ว่า แม้แต่ตัวผมเอง การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ค่านิยม กระบวนทัศน์ พฤติกรรมในการทำงาน บางทีเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากครับ เพราะบางทีก็มีทั้ง ปรับตาม ปรับขึ้น และปรับลง ให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา บางครั้งก็เข้ามามาก บางครั้งก็เข้ามาน้อย ไม่สม่ำเสมอ สิ่งนี้ทำให้ผมได้ทบทวนและพบว่าการเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางทีผมเองก็พลาดเหมือนกัน เพราะอาจคิดว่าไม่เป็นไร ทำได้ เลยปล่อยปละละเลย ซึ่งทำให้ผมเองคิดผิดครับ เลยลองทบทวนใหม่ทำให้พบว่านั่นแหละคือสิ่งที่เราคิดเป็นจุดอ่อนของเราเอง ก็เลยลองปรับใหม่อีกครั้ง ซึ่งเมื่อจิตเที่ยง ก็หาทางออกได้ การปรับตาม ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ก็ดูไม่มีผลอะไรกับจิตใจเท่าใดครับ

   ขอบพระคุณที่แสดงความจริงใจในทัศนะอาจติดลบ ในแง่ผู้บริหารที่ทำเหมือพ่ายแพ้ ถดถอยเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม....ทุกวันการทำงานที่มีปัญหาที่สุดในองค์กร คือทีมงาน....ทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่า......ใช้ HRD อย่างไร หากผู้บริหารยังไม่หนักแน่นพอก็จะท้อแท้แบบผม....อาจจะเหมาะกับนักออกแบบกิจกรรมมากกว่าการ กำกับ ติดตาม ดูแลการปฏิบัติงานเพราะความเร้าร้อนคือ...จุดอ่อนของตนเอง...นี่คือการมองตนเอง...ขอบคุณ

ขอให้มองด้วยความจริงใจ..มองใครๆก็ได้ความจริงค่ะ

น้องเก่งสบายดีมั๊ยคะ...ไม่เจอกันนาน

ท่านอาจารย์ ajankoy ครับ  Ico48

  • กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงนะครับ กระผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากครับที่ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ร่วมแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง ได้อ่านความคิดเห็นของท่านแล้ว ทำให้ผมทราบได้ถึงความจริงใจหนักแน่นและเปิดเผยของท่านอาจารย์มากและขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์ด้วยครับ
  • ขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ

พี่ครู ป.1 ครับ Ico48

  • ขอขอบพระคุณมากนะครับที่แวะมาเยี่ยมเยือนและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากครับ
  • ด้วยความระลึกถึงอยู่เสมอนะครับ กระผมสบายดีนะครับ
  • เป็นข้อคิดที่ดีมากครับ ที่ว่า มองคนอย่างจริงใจ มองใครๆ ก็ได้ความจริง ขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ 

สวัสดีค่ะ

        มาแวะทักทายในบ่ายวันหยุดค่ะ

   มองตัวเองอย่างจริงใจ ได้อะไรมากขึ้น  

  ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีกว่าตัวเราเองค่ะ  และทำให้ทำให้รู้ใจคนอื่นๆรอบข้าง

  "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" เป็นคำพูดที่สอนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ

                                

ท่านอาจารย์ KRUDALA Ico48 

  • ขอบพระคุณมากครับสำหรับความคิดเห็นที่นำมาเติมเต็มครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท