เพศศึกษาตามอายุ


1. การถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศที่สอดคล้องกับพัฒนาการของร่างกาย   วุฒิภาวะ   และวิถีชีวิตในแต่ละช่วงอายุ

วัยเด็ก ช่วงอายุระหว่าง 2-12 ปี 

ในวัยเด็กอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ช่วงอายุใหญ่ ๆ   กล่าวคือ   ช่วงแรกเมื่อเด็กอายุระหว่าง 2-5ปีหรือเด็กก่อนเข้าวัยเรียน   และช่วงที่สองเมื่อเด็กอายุระหว่าง 6-12ปีเมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน 

ในช่วงอายุแรก เด็กจะเริ่มเล่นอวัยวะของตนเอง    เริ่มสังเกตความแตกต่างของอวัยวะในร่างกายที่ไม่เหมือนกันระหว่างหญิงและชาย   เริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นอวัยวะของเพื่อนเพศตรงข้าม   มีความเข้าใจว่าอวัยวะของตนเป็นส่วนที่ควรปกปิดและเป็นของส่วนตัว   เด็กจะเรียกชื่ออวัยวะของตนเป็น   เริ่มเรียนรู้และเลียนแบบบทบาทพฤติกรรมของเพศตนในการเล่นและการใช้ชีวิตประจำวัน    ในวัยนี้เองที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนลูกถึงหน้าที่และการดูแลการทำความสะอาดอวัยวะแต่ละในเบี้องต้น (basic personal hygiene)      พ่อแม่ควรเปิดโอกาสที่จะตอบข้อสงสัยของเด็กวัยนี้เกี่ยวกับอวัยวะ โดยเฉพาะในเรื่องอวัยวะเพศ   และสาเหตุของการมีอวัยวะที่แตกต่างของเพศตรงข้ามด้วย    รวมไปถึงการสอนว่าอวัยวะเพศมิใช่เป็นเรื่องน่าอับอายที่ต้องปิดบังไว้    หากแต่เป็นเรื่องธรรมชาติ  ในการเข้าสังคมที่ควรแต่งกายให้มิดชิด   พ่อแม่ควรเริ่มสอนสิทธิของเด็กโดยการสอนเด็กให้รู้ว่า  ตัวเขาเองมีสิทธิที่จะปฏิเสธ และไม่ควรยอมให้บุคคลอื่นจับต้องอวัยวะเพศของตนหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขาโดยที่เขาไม่ต้องการ   ในสังคมอเมริกันจะกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า the right to say “No”    ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่พ่อแม่จะเปิดโอกาสให้ลูกของตนเกิดความไว้วางใจและความเคยชินไม่เขินอายในการถามข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องอวัยวะเพศกับตน   ลักษณะการเปิดโอกาสพูดคุยกันแบบนี้จะเป็นแนวทางในการปูพื้นฐานความใกล้ชิดระหว่างเด็กและพ่อแม่ในการซักถามเกี่ยวกับเรื่องเพศต่อไป 

ช่วงที่สอง   เมื่อเด็กอายุ 6-12ปี   คือ เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว    เด็กจะเริ่มเรียนรู้คำศัพท์อย่างเป็นทางการของการเรียกชื่ออวัยวะแต่ละอวัยวะและเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ    ในวัยนี้คุณพ่อ คุณแม่สามารถเน้นวิธีการดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศของตนได้ลึกซึ้งขึ้น    ตัวเด็กเองจะเริ่มพอนึกออกว่าเขาเกิดมาจากไหน    สนใจการสืบพันธุ์หรือการเกิดของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รอบตัวเขา  เช่น การเกิดของสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน    เริ่มรู้ว่าแต่ละอวัยวะในร่างกายมีหน้าที่อย่างไร  เริ่มรู้ถึงความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะตน  และความแตกต่างของอวัยวะตนกับเพื่อนเพศเดียวกับตนเอง   เด็กเริ่มเห็นพัฒนาการทางเพศที่แตกต่างของเพศตนกับเพศตรงข้าม และความรวดเร็วของพัฒนาการทางร่างกายของเพื่อนเด็กหญิงและเด็กชายที่แตกต่างกัน (changes at puberty according to different sex rate of development)            เด็กอาจเริ่มลอกเลียนแบบการยั่วยวนทางเพศ  (imitating seduction) เช่นการจูบ  การพูดจาเกี้ยวพากันหรือดึงดูดความสนใจของเพศตรงข้าม (flirt)     อีกทั้งในเด็กชายในช่วงอายุ 11-12 ปีอาจเริ่มมีการเรียนรู้เรื่องวิธีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (masturbation)จากเพื่อน  ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายเด็กจะเริ่มเรียนรู้คำแสลงที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ  การเล่าหรือรับฟังเรื่องสองแง่สองง่ามในหมู่เพื่อนๆ  

เนื่องจากฮอร์โมนเพศ และอวัยวะเพศเริ่มมีการพัฒนาไปสู่วัยเจริญพันธ์  ผู้ใหญ่ควรที่จะให้ความรู้ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และผลเสียที่จะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเยาว์แก่บุตรของตน

อีกทั้งช่วงอายุนี้ เป็นช่วงที่ดีในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามข้อข้องใจในวิถีชีวิตประจำวันของเขาโดยผู้ปกครองอาจเป็นคนถามเขาเองก็ได้  เพื่อที่จะถือโอกาสให้ความรู้ในสิ่งที่ถูกต้องแก่บุตรของตน   เช่น  เปิดโอกาสให้ลูกได้ถามว่าสิ่งที่เขาได้ยินเพื่อนที่โรงเรียนพูดเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นเป็นจริงหรือไม่  หรือ  ในกรณีที่พ่อแม่ลูกนั่งดูโทรทัศน์กัน  ก็ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ถามหรือเล่าว่าเขารู้สึกอย่างไรต่อภาพที่เห็น   เช่น การจูบกันของนางเอกกับพระเอก  หรือวิจารณ์ความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอกในละคร  เป็นต้น   ตอนนี้เองเป็นการเปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ได้สอนถึงการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนเพศตรงข้ามที่นำมาซึ่งการให้คุณค่า  ให้เกียรติแก่ตัวเองและเพศตรงข้าม   การวางตัวที่เหมาะสม  ความคิดที่แตกต่างของหญิงและชายในเรื่องความรักหรือการมีเพศสัมพันธ์   เพราะช่วงอายุนี้เองที่เด็กจะเริ่มการสะสม หล่อหลอมทัศนะคติและค่านิยมเกี่ยวกับเรื่องเพศ  ตลอดจนความรับผิดชอบเมื่อมีเพศสัมพันธ์

นอกจากนี้ในช่วงอายุนี้ เด็กเริ่มซึมซับข้อความที่ได้รับจากสื่อในเรื่องเพศ  รวมไปถึงเรื่องโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์  และเขาจะเริ่มรับรู้ชื่อโรคที่สังคมสร้างภาพว่าร้ายแรงหรือน่ารังเกียจ    การรับรู้ของเด็กในช่วงวัยนี้เด็กไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่รับมา อาทิ ข้อเท็จจริง (facts) ออกจากเรื่องที่ไม่เป็นจริง(fiction)ได้    ดังนั้นเด็กอาจเกิดความกังวลว่าจะติดโรคจากผู้อื่นได้  โดยเฉพาะโรคเอดส์    ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการติดต่อของโรค เช่น โรคเอดส์   การสร้างความมั่นใจให้กับเด็กในการอยู่ร่วมกับคนที่ติดเอดส์โดยไม่ต้องหวาดกลัว  การอธิบายในเรื่องนี้ควรเป็นการเล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายไม่ใช้คำศัพท์ที่เป็นทางการหรือเป็นคำศัพท์ทางแพทย์มากเกินไป   พ่อแม่ควรแสวงหาความรู้ว่าที่โรงเรียน บุตรของตนได้รับการศึกษาเรื่องเพศในเรื่องใดบ้างในบทเรียน  ตลอดจนวิธีการเรียนการสอนของครูเพื่อที่จะได้ให้ข้อมูลเสริมความรู้ของเด็ก   การสอนที่ไม่ขัดแย้งกับข้อมูลที่เด็กเรียนหรือได้รับมา เพื่อเป็นการไม่สร้างความสับสนกับตัวเด็ก  และเพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้รับรู้ถึงพัฒนาการในองค์ความรู้เรื่องเพศที่เด็กมี   ในทางกลับกัน คุณพ่อคุณแม่เองก็ควรที่จะพูดคุยกับครูเรื่องที่เด็กซักถาม เล่าให้ฟังถึงแนวทาง การตอบของตนเพื่อที่ครูจะได้รับข้อมูลและนำไปขยายข้อข้องใจให้ชัดเจนในบทเรียนภายหลังกับเด็ก    

   

วัยรุ่นช่วงอายุ 13-19 ปี

ในระยะนี้เด็กได้ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมชาวอเมริกันจะให้ความสำคัญที่สุดในการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศ   ในทางตรงข้ามช่วงอายุนี้เอง วัยรุ่นมักจะหลีกหนีการถามปัญหาเรื่องเพศหรือการซักถามคำถามที่เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ปกครอง   อย่างไรก็ตามผู้ปกครองชาวอเมริกันส่วนมากมักสังเกตพฤติกรรมของบุตรตนและถือเป็นความรับผิดชอบในส่วนหนึ่งที่จะสอนถึงวิธีการคุมกำเนิดและการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (how to have safe sex)    ภาระในการถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศศึกษาจะไปเน้นหนักที่ระบบการศึกษาของโรงเรียน     ที่โรงเรียนจะเน้นย้ำบทเรียนที่ให้ภาพพจน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับ  

เรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและพัฒนาการของร่างกาย  (changes during puberty)   นอกจากจะกล่าวถึงพัฒนาการทางกายภาพที่แตกต่างกันหญิงและชายแล้ว    โรงเรียนยังให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องดังต่อไปนี้

การมีความรู้สึกสนใจเพศตรงข้าม (attraction to the opposite sex)

ความรู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตน  และความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง (feeling of insecurity)  ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกว่าตนเองน่าเกลียดเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อน    ความรู้สึกไม่สบายใจและกายเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนต่างเพศ     ความรู้สึกของการเข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้  หรือแม้แต่ความสับสนที่เกิดขึ้นในการเลือกอัตลักษณ์ (self identity)  หรือเอกลักษณ์ (uniqueness) ของตน

ความรู้สึกที่เกิดจากการกระตุ้นทางเพศ (sexual impulses)   ความรู้สึกที่เกิดจากการกระตุ้นทางเพศอันเกิดมาจากการผลิตฮอร์โมนที่มีอำนาจต่อการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของตน   ซึ่งเป็นอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งที่เมื่อใครก็ตามเข้าสู่วัยรุ่นจะต้องประสบ    การบังคับการตอบสนองตนเองจากสิ่งเร้า (controlling sexual impulses)   เด็กจะได้เรียนรู้ว่าการจัดการกับอารมณ์ทางเพศของตนว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง  ตนเองมีระดับของความรู้สึกทางเพศที่ปกติหรือมากผิดปกติ   รวมทั้งทางออกและแนวทางการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้   

เรื่องเพศและการสืบพันธุ์ (sex and reproduction) ซึ่งเป็นการสอนที่เน้นลักษณะกายภาพและหน้าที่ของอวัยวะที่มีบทบาทต่อการสืบพันธุ์ของมนุษย์    ควบคู่ไปกับบทเรียนที่เน้นการสอนเรื่องเพศวิถี (sexuality)     

เรื่องเพศวิถี (sexuality)      การเรียนเรื่องเพศวิถีจะประกอบด้วยการเรียนรู้ดังนี้ 

      3.1 เพศสภาวะ (gender) กล่าวคือลักษณะเพศตามสถานภาพทางชีววิทยาและสังคมวิทยา   วัยรุ่นจะได้เรียนเกี่ยวกับการที่เพศสภาวะของตนที่เชื่อมโยงกับการเกิดมาเป็นเพศชายหรือเพศหญิง   การวางตัวที่สอดคล้องกับเพศของตน  บทบาทของเพศหญิงและเพศชายที่สังคมให้คาดหวัง   การแต่งกายและพฤติกรรมมารยาทของเพศตนในการเข้าสังคม  เป็นต้น

      3.2 การบ่งบอกเพศสถานะของตน (sex orientation) ในบทเรียนนี้   วัยรุ่นจะเรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของกลุ่มคนสามกลุ่ม    ได้แก่ กลุ่มคนที่มีความต้องการทางเพศกับเพศตรงข้าม  (heterosexual)      กลุ่มคนที่มีความต้องการทางเพศเกิดความเร้าอารมณ์ทางเพศได้กับทั้งเพศหญิงและเพศชาย (bisexual)    และกลุ่มคนรักร่วมเพศที่มีความต้องการทางเพศกับเพศเดียวกัน (homosexual)     รวมไปถึงการเข้าใจความพึงพอใจทางเพศและปรับตัวในเรื่องเพศของตน

     3.3  การมีเพศสัมพันธ์ (intercourse) บทเรียนจะเน้นการสอนว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการตอบสนองของฮอร์โมนในร่างกายเพียงอย่างเดียว    รวมถึงการบอกถึงผลกระทบทางจิตใจ  (emotional effects of sex)  และการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์  (consequences of sex)   เช่น  ความผูกพันทางอารมณ์และจิตใจที่ผู้หญิงจะมีต่อคู่เพศสัมพันธ์ (female emotional attach)    รวมไปถึงเรื่องความรับผิดชอบของเพศชายและเพศหญิงเมื่อเกิดการมีบุตรโดยไม่ได้ตั้งใจ  ภาระและหน้าที่ของการเลี้ยงดูลูก  เป็นต้น    

การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (how to have safe sex) การใช้ถุงยางของเพศชายและหญิง  และการต่อรองของหญิงชายเมื่อตกลงจะมีเพศสัมพันธ์ (gender-power relations and safer sex negotiation)    รวมไปถึงสิทธิในการปฏิเสธเมื่อไม่ต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์

วิธีการการคุมกำเนิด (contraception)  เช่น การใช้ถุงยางอนามัย (condoms)  การรับประทานยาคุมกำเนิด (birth control pills)  เป็นต้น

โรคที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ (sexual transmitted diseases: STDs) เช่น  โรคเอดส์  โรคหนองใน  โรคเริม  โรคซิฟิลิส เป็นต้น    

การตั้งครรภ์กับการรับมือกับการตั้งครรภ์  (dealing with pregnancy)  โดยที่อาจารย์ผู้สอนวิชาเพศศึกษาจะให้เด็กจดบันทึกการดูแลบุตรในรอบหนึ่งสัปดาห์   การอาศัยตุ๊กตาเด็กทารกแทนเด็กจริง   ให้ติดตามตัวเด็กไปในทุก ๆ ช่วงเวลา  เพื่อเป็นการสอนที่ทำให้เด็กสาวและเด็กชายวัยรุ่นเห็นภาระความรับผิดชอบของการเป็นพ่อแม่คน

 

จะเห็นได้ว่าในการเรียนเรื่องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของร่างกาย  (changes during puberty)     เรื่องเพศและการสืบพันธ์ (sex and reproduction)  และการเรียนเรื่องเรื่องเพศวิถี (sexuality)     การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (how to have safe sex)   วิธีการการคุมกำเนิด (contraception) โรคที่ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์ (sexual transmitted diseases: STDs)     และ การตั้งครรภ์กับการรับมือกับการตั้งครรภ์ (dealing with pregnancy)ไปพร้อม ๆ กัน    ตัวบทเรียนจะเน้นการเชื่อมโยงระหว่างพัฒนาการทางกายภาพกับจิตใจ   และตัวอย่างที่ยกมาสอนในบทเรียนมุ่งให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง  ประสบการณ์ทางสังคม  และปัญหาที่พบในกลุ่มของวัยรุ่นอีกด้วย

ในวัยนี้ เด็กวัยรุ่นอาจได้รับความกดดันจากเพื่อนให้มีเพศสัมพันธ์ (peer pressure)    ในบางโรงเรียนก็จะสอดแทรกบทเรียน  หรือการฉายวีดีโอให้ดูในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ   รวมถึงการสอนการจัดการกับความกดดันทางทางเพศ (handling sexual pressure)    ในหัวข้อเรื่องนี้เองที่พ่อแม่ชาวอเมริกันส่วนมากมักจะเข้ามามีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการสอนลูกของตนว่า การมีเพศสัมพันธ์ควรเกิดขึ้นเมื่อสภาพทางร่างกายและจิตใจของลูกพร้อม    ไม่ใช่เกิดจากความกดดันที่อยากจะมีประสบการณ์เหมือนเพื่อน   หรือความกดดันที่เกิดจากแฟน   

หัวข้อที่ครอบคลุม  ความลึกซึ้งของบทเรียน  และความรู้ของพ่อแม่ในการถ่ายทอดเรื่องเพศจะแตกต่างกันไป   ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรงเรียนว่าอยู่ในเมืองหรืออยู่ในชนบท เช่น ในโรงเรียนที่อยู่ในชนบทที่คนมีความเป็นอยู่ตามการดำรงชีวิตแบบชาวอามร์มิช  การพูดถึงวิธีการคุมกำเนิด  การพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด  การฉีดตัวยาคุมใต้แขนของเพศหญิงอาจถูกละไว้    เช่นเดียวกัน  การมีความเชื่อนับถือลัทธิทางศาสนาที่ต่างกันก็มีผล  เช่น  ถ้าโรงเรียนนับถือศาสนาโรมันคาทอลิคการคุมกำเนิดก็จะละไว้หรือพูดไม่ลึกซึ้ง   นอกไปจากนี้ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมทางสังคมของโรงเรียนและผู้ปกครอง ก็เป็นตัวกำหนดความแตกต่างของบทเรียน  ภาษาที่ใช้สอน วิธีการสอนและการถ่ายทอดความรู้สู่เด็กวัยรุ่น   อย่างไรก็ตามถึงแม้ในแต่ละโรงเรียนและตัวผู้ปกครองจะมีความแตกต่างกันในการถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศให้กับเด็กวัยรุ่นหัวข้อที่กล่าวมาขั้นต้น ถือว่าเป็นหัวข้อตัวแทนความรู้ที่ชาวอเมริกันยอมรับ เห็นความสำคัญและมีความตื่นตัวว่าเด็กวัยรุ่นควรมีความรู้เรื่องดังกล่าว          

อีกทั้งในสังคมอเมริกันขณะนี้ได้มีการคิดที่จะผนวกบทเรียนเรื่องการสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับเพื่อนต่างเพศที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย  (healthy sexual relationships)  เข้าเป็นหนึ่งส่วนในบทเรียนเพศศึกษาของวัยรุ่น    ทางสถาบันการศึกษายังเน้นย้ำความสำคัญของการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ปกครองและกลุ่มวัยรุ่นอาสาสมัครเพราะเขาเล็งเห็นว่าเป็นแรงที่สำคัญในการถ่ายทอดข้อความเรื่องเพศที่จำเป็นต่อวัยรุ่นได้     หัวข้อเรื่องที่กลุ่มผู้ปกครองและอาสาสมัครวัยรุ่นมักให้ความรู้แก่เพื่อนวัยตน  ได้แก่  เรื่องการเกี้ยวพาราศีและการออกเดท  (courting/dating)    ภัยที่อาจตามมาจากการออกเดท  เช่น  การข่มขืน (date rape)   การปฏิบัติและการให้เกียรติกันของเพื่อนต่างเพศและคู่รัก การอยู่ร่วมกับเพื่อนที่รักเพศเดียวกัน  เป็นต้น  การริเริ่มใหม่นี้เองส่วนหนึ่งเกิดจากการกระตุ้นที่จะลดปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นเช่น การข่มขืน   โดยเฉพาะปัญหาการหย่าร้าง  ปัญหาการทำทารุณกรรมทางเพศกับกลุ่มคนที่รักร่วมเพศ (sexual violence toward homosexual peer)   ปัญหาการเคารพสิทธิและการไม่ละเมิดสิทธิของเพื่อนต่างเพศเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่

 

ผู้ใหญ่ช่วงอายุ 20-50 ปี

  ในวัยผู้ใหญ่นอกจากการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศจะสมบูรณ์แล้ว  เป็นวัยที่ภาวะทั้งทางสภาพร่างกายจะพัฒนาสู่จุดสูงสุด   ในขณะเดียวกัน   ช่วงหลังของช่วงอายุนี้เป็นช่วงของการดูแลสุขภาพและเตรียมรับมือกับการซ่อมแซมป้องกันการทรุดโทรมของสุขภาพ (aging prevention)    ในวัยนี้ทางด้านจิตใจก็มีความมั่นคง   มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจที่ดี   บรรลุนิติภาวะทางพฤตินัย และนิตินัย    รู้ถึงสิทธิและการประพฤติตนให้อยู่ในกรอบที่สังคมและกฎหมายกำหนด  วัยนี้เป็นวัยที่มีเป้าหมายชีวิตมุ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงาน   มีหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระในชีวิตประจำวันมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบตนเอง  หรือรับผิดชอบครอบครัว  ดังนั้นเรื่องการเรียนรู้เรื่องเพศก็จะมีความเกี่ยวพันกันอย่างสูงกับพัฒนาการของช่วงชีวิตนี้  

อนึ่ง วิธีการและรูปแบบการถ่ายทอดความรู้เรื่องเพศศึกษา  ช่องทางการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศในวัยผู้ใหญ่จะแตกต่างและมีความหลากหลายไม่เหมือนกับในวัยเด็กและวัยรุ่น    ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงอายุผู้ใหญ่เป็นช่วงที่กลุ่มคนอายุนี้มีความเป็นอิสระสูง    ทั้งสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาจะมีบทบาทน้อยลง  การแสวงหาความรู้เรื่องเพศจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น จากการเข้าชั้นเรียนหรือเข้ารับการอบรม    จากสื่อวิทยุโทรทัศน์โปสเตอร์สิ่งพิมพ์และอินเตอร์เน็ท    หรือจากการไปพบแพทย์ สิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น   จะเห็นได้ว่าการได้รับความรู้เรื่องเพศจะครอบคลุมถึงความหลากหลายของรูปแบบการดำเนินชีวิตเป็นหลัก   ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างคร่าว ๆ ของการได้มาซึ่งความรู้เรื่องเพศตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของกลุ่มคนช่วงอายุนี้

1.1  กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ยังคงอยู่ในระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา  ได้แก่กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย  (college students)  หรือเป็นบัณฑิตที่เข้าเรียนต่อในระดับของปริญญาโทและเอกที่ยังอยู่ในช่วงชีวิตของการเป็นนักศึกษาและอาจทำงานไปด้วย   หรือมีครอบครัวไปด้วย   นักศึกษาชาวอเมริกันให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องการหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องเพศ   ถึงแม้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่ลงเรียนในหลักสูตรเพศศึกษาโดยตรง  ก็สามารถลงเรียนในวิชาเลือกที่เปิดสอนในคณะต่าง ๆ ได้ เช่น  ในคณะจิตวิทยา   ศึกษาศาสตร์ มานุษยวิทยา เป็นต้น  

โดยเนื้อหาของวิชาดังต่อไปนี้ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมความเข้าใจเรื่องเพศ    การเรียนรู้พัฒนาการของร่างกาย     การมีความรู้ความเข้าใจและการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อคู่ชีวิตและครอบครัว  ตัวอย่างของวิชาดังต่อไปนี้คือ

1.1.1  วิชาเพศศึกษา (sex education) ที่เปิดสอนเป็นวิชาเลือกในมหาวิทยาลัย

1.1.2  วิชาการวางแผนครอบครัว (family planning) 

บทเรียนจะสอนเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการพัฒนารูปแบบการวางแผนครอบครัว   ความสำคัญของการวางแผนครอบครัว  วิธีการวางแผนครอบครัว   การตอบสนองของนโยบายการวางแผนครอบครัวที่มีผลกระทบในระดับประเทศ  และปัจเจกบุคคล  เป็นต้น  ซึ่งมักเปิดเป็นวิชาเลือกทั่วไปให้แก่นิสิตที่สนใจ

1.1.3  วิชาการเรียนรู้เมื่อเป็นพ่อแม่ (parenting)  หรือ (parenting and family) 

เนื้อหาจะเรียนเกี่ยวกับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ลักษณะทางพันธุ์กรรมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก   กระบวนการเกิด (birth process)    สุขภาพของแม่และทารกในปีแรก   พัฒนาการของเด็ก (maternal and infant health in the first year)     การปรับตัวของสมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะตัวสามีภรรยาเมื่อมีลูกในเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก  ในบางบทเรียนจะมีการสอนความระมัดระวังในการตีความของเด็กเมื่อเด็กเล็กเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กัน    เป็นวิชาที่มักเปิดสอนในคณะศึกษาศาสตร์หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยาเด็ก  

1.1.4  วิชาชีวิตครอบครัว (family life education) หรือ (family life studies)

บทเรียนจะเน้นการให้คุณค่าแก่ชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมา  โดยเฉพาะคุณค่าของชีวิตครอบครัวและตัวเด็ก  การเกิดของครอบครัว (origin of family)     การเป็นผู้ปกครองและสั่งสอนระเบียบวินัยให้กับเด็ก (parenting and discipline children)     การเป็นผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่น  การเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น  เป็นวิชาที่เปิดสอนในคณะศึกษาศาสตร์หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิชาพัฒนาการของเด็ก  

1.1.5   วิชาการมีชีวิตคู่และการมีครอบครัว  (marriage and family)

วิชานี้จะกล่าวถึงอิทธิผลของวัฒนธรรมที่มีต่อความสัมพันธ์ส่วนบุคคล  (cultural influences on relationships among individuals)     การเลือกคู่ (mate selection)     รูปแบบอันหลากหลายของการแต่งงานและครอบครัว  (marriage and family types)         การเลี้ยงดูบุตร (parenting)  การเปลี่ยนแปลงของสถาบันครอบครัว (family change)       การจัดการกับวิกฤตปัญหาครอบครัว (crisis resolution)     วิชานี้มักเปิดสอนในคณะศึกษาศาสตร์หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิชาสุขศึกษาครอบครัว   

1.1.6  วิชาพัฒนาการของเด็ก (child development)

มุ่งศึกษาทฤษฎีพัฒนาการของเด็ก  พัฒนาการของผู้ปกครองในการเลี้ยงดูบุตร  ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก  ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางกายภาพ  ปัจจัยทางสังคม  อารมณ์และจิตใจที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุ  วิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาศึกษาศาสตร์เอกการเรียนเรื่องเด็กเล็ก   หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของวิชาสาขาจิตวิทยา

1.1.7  วิชาการแนะแนวปรึกษาปัญหาชีวิตคู่  (couples and family counseling) 

วิชานี้มีขึ้นเพื่อศึกษารูปแบบการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่และชีวิตครอบครัว   การเรียนรู้เทคนิคการให้คำปรึกษา   หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสัมพันธภาพที่ดีของคู่สมรส  ในการสอนนอกจากจะเน้นการบรรยายแล้วอาจใช้การวิภาษวิจารณ์หนัง  การเล่นแสดงบทบาทของผู้ให้คำปรึกษาและคู่สมรสที่มาของคำปรึกษา (role play)     แนะนำแนวทางวิธีการแก้ปัญหาของครอบครัวในยุคปัจจุบัน    วิชานี้มักเปิดสอนในคณะศึกษาศาสตร์วิชาเอกทางการแนะแนว   หรือเปิดเป็นวิชาเลือกให้กับการเรียนการศึกษาของผู้ใหญ่ (adult education)   

1.1.8  วิชาการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (sexual harassment) 

เป็นวิชาที่สอนว่าการล่วงละเมิดทางเพศคืออะไร  มีผลอย่างไรทางด้านร่างกาย จิตใจและกฎหมาย  รูปแบบของการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน มหาวิทยาลัย  ที่ทำงาน หรือในสังคมภายนอก  การจัดการเมื่อเกิดการล่วงละเมิดทางเพศกับตนหรือเพื่อน  เป็นวิชาที่เปิดสอนเป็นวิชาเลือกให้กับนิสิตที่สนใจทั่วไป

1.1.7  วิชาลักษณะเพศวิถีของความเป็นมนุษย์  (human sexuality)

ในวิชานี้มุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยทางกายภาพ  ปัจจัยทางจิตวิทยา  และปัจจัยทางสังคมในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กันของมนุษย์   อารมณ์  ความรักและการความต้องการทางเพศที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์   การพึ่งพากันของเพศหญิงและเพศชาย  การสอนวิชานี้อาจรวมไปถึงการกล่าวถึง เรื่องเพศและความชราภาพ (sex and aging)       กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมทางเพศในที่สาธารณะ   โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  และการจินตนาการแต่งเติมว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่มีความตื่นเต้น เย้ายวน เร้นลับน่าติดตาม (sex as erotica topic) ในบางสัมคม  เป็นต้น   วิชานี้มักเปิดสอนในภาควิชามานุษยวิทยา   

 

1.2   กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่นอกระบบการศึกษา    อันได้แก่กลุ่มคนทำงาน  สามารถรับรู้หาความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาได้จากชีวิตประจำวันของเขา   หรือได้จากสื่อที่พบเห็น  ไม่ว่าจะดูรายการสารคดีทางการแพทย์ไปจนถึงรายการเบ็ดเตล็ดและทอคโชว์      เนื้อหารายการมักก็จะกล่าวถึงประสบการณ์ของแม่ในการคลอดลูก   การคลอดลูกโดยวิธีการต่าง ๆ   หรือเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยเกี่ยวกับเรื่องเพศซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมอเมริกัน   รายการโทรทัศน์ตอนกลางคืนก็มีรายการที่จะเชิญแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องเพศ (sexiologists) มาให้คำปรึกษา     เช่นเดียวกันรายการวิทยุมีรายการที่จัดให้บุคคลที่มีปัญหาเรื่องเพศโทรเข้ามาสอบถาม    นอกจากนี้รายการที่ได้รับความนิยมมากอีกรายการหนึ่งได้แก่รายการโทรทัศน์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มแม่บ้านและเด็กวัยรุ่นรายการนี้มักจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องเพื่อนต่างเพศ  ชีวิตคู่ และปัญหาครอบครัว  เช่นรายการของ  Dr. Phil   จะเห็นได้ว่าการนำเสนอสาระความรู้เรื่องเพศในสหรัฐจะแฝงตัวมาในหลายรูปแบบ    โดยเฉพาะผู้ชมสามารถหาความบันเทิงและสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้จัดการกับปัญหาของชีวิตตนได้ทันที     ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของรายการบางรายการไม่ได้ตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการให้ความรู้เรื่องเพศแก่ผู้ชมโดยตรง แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการกระจายความรู้เรื่องเพศไปสู่กลุ่มคนที่เข้าถึงยาก  เช่น  ประชาชนที่ไม่มีการศึกษาสูง   ผู้ปกครองที่หย่าร้าง เด็กวัยรุ่น   และแม่บ้าน อีกด้วย

ในชีวิตประจำวันชาวอเมริกันที่ไปพบแพทย์   แพทย์ก็จะมีแผ่นพับเรื่องสุขภาพของหญิงชาย  ความรู้เรื่องโรคต่าง ๆ และทางเลือกในการคุมกำเนิดในแผนกที่เกี่ยวข้องให้หยิบอ่านในระหว่างรอพบแพทย์หรือหยิบกลับไปบ้าน    ในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาก็จะมีแผนกช่วยวางแผนครอบครัว  (family planning)    บางครั้งโรงพยาบาลในแต่ละชุมชนยังเป็นผู้ริเริ่มให้สมาชิกเข้าร่วมโครงการเดิน  วิ่งรณรงค์  เข้าร่วมในชมรมช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอดส์  เป็นการสร้างความใกล้ชิดเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ที่ติดโรคเอดส์    สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เป็นการสร้างเสริมชุมชนให้ซึมซับและสนับสนุนให้เห็นถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกับคนที่ติดเชื่อโรคเอดส์ได้เป็นอย่างดี

ในสังคมอเมริกันความตื่นตัวในเรื่องสิทธิเสรีภาพ  การละเมิดสิทธิและกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิทางเพศ (sexual legal rights)    เป็นเรื่องสำคัญที่พลเมืองของเขาต้องรับรู้ในฐานะเป็นพลเมืองของประเทศ       ในที่ทำงาน สมาชิกในองค์กรส่วนมากได้เรียนรู้ถึงกฎว่าด้วยเรื่องของการปฏิบัติตนและพฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศ (sexual harassment)     พฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบของภัยคุกคามจากเพื่อนร่วมงานหรือนายที่ประสงค์มิดีมิชอบทางร่างกาย เช่น  การแตะเนื้อต้องตัวของพนักงานต่างเพศ   การทำให้พนักงานเพศตรงข้ามรู้สึกอึดอัด ตะขิดตะขวงใจเมื่ออยู่ท่ามกลางเพศตรงข้าม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการมองเรือนร่างของเพศหญิงระหว่างการทำงาน  กฎของบริษัทบางบริษัทให้ความสำคัญถึงขั้นรวมไปถึงการห้ามมิให้หยอกล้อเล่าเรื่องตลกทางเพศ (make sexism joke)  ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่แปลกเลยหากเราเดินเข้าที่ทำงานบางแห่งในอเมริกา  แล้วเราพบว่ามีกฎและระเบียบในทำนองนี้ทำเป็นป้ายติดไว้เตือนใจพนักงานทั้งหลายมิให้เกิดการล่วงละเมิดเกิดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ในที่ทำงาน

 

ผู้สูงอายุ 50ปีขึ้นไป

ในวัยนี้ร่างกายของผู้สูงอายุจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพทางร่างกาย คือมีการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของอวัยวะในการสืบพันธุ์  ระบบฮอร์โมนเพศ    อีกทั้งสภาพจิตใจ  อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจะมีผลโดยตรงต่อการสร้างทัศนคติทางเพศ   การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย    โดยผู้สูงอายุที่เป็นหญิงอาจจะรับรู้ถึงการกระตุ้นทางเพศที่ช้าลง    ประกอบกับการมีเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่างอาจเกิดขึ้นกับตนเอง เช่น การลดระดับของน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด  (decrease in the amount of vaginal lubrication)   ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์    เมื่อถึงจุดสุดยอดจะความรู้สึกทางเพศที่ลดน้อยลงกว่าที่เคยรู้สึก   ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นผลมาจากสองส่วนคือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจากผลข้างเคียงของยาที่ผู้สูงอายุทานเพื่อบำบัดโรคประจำตัวบางโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เป็นต้น    

สำหรับผู้สูงอายุเพศชาย ปัญหาเรื่องเพศที่พบบ่อย  คือการใช้ระยะเวลานานมากขึ้นกว่าอวัยวะเพศของตนจะตื่นตัวหรือแข็งตัว  ทำให้ความรู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ลดน้อยลงไปตามลำดับ   รวมไปถึงความพึงพอใจในจุดสุดยอดทางเพศ (climax) เมื่อมีเพศสัมพันธ์จะลดลงไปด้วย  

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวในการพัฒนาตัวยาที่จะเข้ามาช่วยลดปัญหาทางเพศและความกังวลของผู้สูงอายุ   การให้ความรู้กับผู้สูงอายุว่ามีทางเลือกในการช่วยรักษาปัญหาทางเพศหลายรูปแบบ  ไม่ว่าจะเกิดจากการนำผลวิจัยไปเผยแพร่ในวงการวิชาการ  ในรายการโทรทัศน์  หรือในรูปของบทความที่หาอ่านได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์  และมีหนังสือหลายเล่มที่ช่วยบอกวิธีที่ผู้สูงอายุสามารถสร้างเสริมสมรรถภาพทางเพศให้ดีเหมือนเดิม   โดยการให้คำแนะนำง่าย ๆ   เช่น  การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและการจัดบรรยากาศ สถานที่ ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการทางเพศและการตอบสนองของคู่รักได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย  เป็นต้น    

สถาบันการแพทย์ก็เป็

คำสำคัญ (Tags): #ความรู้ทางเพศ
หมายเลขบันทึก: 426470เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2011 13:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 10:27 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท