จากบันทึก "คุณกำลังต่อต้านนักศึกษาปริญญาเอกอยู่หรือเปล่า" , ,คราบน้ำตา , การผูกใจไว้กับ gotoknow และอิทธิพลทางความคิดที่ได้รับ ซึ่งได้สะท้อนเรื่องราวของ"น้อย" และความคิดเห็นจากหลายท่านที่สะท้อนออกมา
นายบอนจึงแวะไปหาน้อยที่ตลาดโต้รุ่ง เพื่อจะแวะไปเสวนาจานส้มตำอีกครั้ง ว่า น้อยคิดเห็นอย่างไรต่อสิ่งที่หลายท่านเขียนความคิดเห็นออกมา
แต่วันนี้ น้อยไม่ว่างครับ
นายบอนเลยได้เจอแต่ แฟนของน้อย (สามีวัย 22 ปี)
ไม่เจอก็เลยเลียบเคียงถามว่า ทำไมน้อยถึงอยากมีโอกาสเรียนสูงๆ เหมือนคนที่มีโอกาสเรียนในระดับปริญญาเอก
แฟนของน้อยจึงได้เล่าเรื่องของน้อยที่นายบอนก็พึ่งได้รู้
สาว "น้อย" นั้น เป็นเหมือนกับคนในท้องถิ่นชนบทอีกหลายคน ที่ต้องอพยพเข้ามาหางานทำในตัวเมือง เพื่อความอยู่รอดของชีวิตในปัจจุบัน แต่ในเวลาหน้าฝน ฤดูทำนาในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนในหมู่บ้านของน้อยหลายคน กลับบ้านมาช่วยครอบครัว ทำนา หลังจากที่อพยพไปเป็นแรงงานราคาถูกในเมืองใหญ่
วิถีชีวิตที่คุ้นเคย ความมีชีวิตชีวากลับคืนสู่ชุมชนบ้านเกิดอีกครั้ง ลูกหลานได้อยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว ญาติมิตร ในช่วงเวลานั้น น้อยและเพื่อนๆ เห็นผู้ใหญ่หลายท่านในหมู่บ้าน กระตือรือร้นในการถ่ายทอดความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ ทั้งการทอผ้า ย้อมผ้า ทำฆ้อง งานหัตกรรมในครัวเรือน ฯลฯ ให้กับลูกหลานด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อน้อยและเพื่อนๆเห็นสีหน้าที่สดชื่นและความกระตือรือร้นของผู้ใหญ่ใน หมู่บ้านในการถ่ายทอดความรู้ให้ลูกหลานคนรุ่นใหม่ จึงเกิดความคิดรวบรวมภูมิปัญญา เป็นหนังสือออกมา เพื่อให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานสืบไป
สิ่งนี้ ทำให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านภูมิใจและเต็มใจให้ความร่วมมือเต็มที่ กระตือรือร้นบอกเล่า ถ่ายทอดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของชุมชน ความรู้ต่างๆ ที่มีติดตัวมาให้ลูกหลานได้รวบรวมบันทึกไว้ เพราะอยากให้นำความรู้ไปถ่ายทอดให้ลูกหลานในชุมชนได้ใช้ประโยชน์
น้อยและเพื่อนๆ เห็นว่า คนที่จะถ่ายทอดความรู้ได้ตามเจตนารมย์ของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านได้ดีที่สุด ก็คือ ครูในโรงเรียนในย่านชุมชนนั่นเอง จึงนำหนังสือแห่งความภาคภูมิใจไปมอบให้ครูในโรงเรียนนั้น เพื่อถ่ายทอดแก่ลูกหลานให้ทั่วถึง ได้ใช้ประโยชน์กันทุกคน ซึ่งผู้ใหญ่ในชุมชนเมื่อทราบเรื่อง ต่างยินดีและชื่นชมในความตั้งใจของน้อยและกลุ่มเพื่อน
แต่ทางโรงเรียน ปฏิเสธที่จะรับหลักสูตรดังกล่าว เพราะหลักสูตรที่สอนดีอยู่แล้ว เป็นไปตามที่ส่วนกลางได้วางกรอบไว้ เหมาะสมอยู่แล้ว
น้อยมองว่า หลักสูตรที่เรียนในโรงเรียนนั้น เหมาะสมจริงหรือ เรียนรู้แล้ว ไม่เห็นว่าครูผู้ที่ถ่ายทอดความรู้จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจเหมือนกับที่ ผู้ใหญ่ในชุมชนที่ได้ถ่ายทอดความรู้ออกมาเลย
แล้วที่เรียนๆไปนี้ ทำไมถึงทำให้หลายคนอยู่ในชุมชนท้องถิ่นไม่ได้ ทำไมต้องอพยพไปหางานทำในตัว เมือง ทั้งๆที่รุ่นพ่อแม่ ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนสูงๆ ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนได้
น้อยจีงอยากที่จะเรียนสูงๆ เพื่อที่ได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้ที่ถูกปฏิเสธนั้น
ความรู้ที่เป็นความภาคภูมิใจของผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน
เรียนสูงๆ เพื่อที่จะได้มีโอกาสในสังคมมากขึ้น ในการทำในสิ่งที่อยากจะทำให้เป็นจริงในยุคปัจจุบัน
แต่ทางโรงเรียน ปฏิเสธที่จะรับหลักสูตรดังกล่าว เพราะหลักสูตรที่สอนดีอยู่แล้ว เป็นไปตามที่ส่วนกลางได้วางกรอบไว้ เหมาะสมอยู่แล้ว
โรงเรียนแห่งนั้นได้จัดทำหลักสูตรในรูปแบบใด ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรหรือเปล่า และครูน้อยเองยังสงสัยว่า ครูไม่ได้มีบทบาทในความภาคภูมิใจเกี่ยวกับหลักสูตร จึงได้คิดที่จะเรียนสูงๆเพื่อถ่ายทอดความคิดให้กับครู และบุคลากรอื่นๆ
ครูอ้อยมีความคิดเห็นเหมือนครูน้อย กว่าที่จะให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเราและความรู้ของเรา เราต้องพยายามจัดการตัวเองให้เกิดความเชื่อถือก่อนค่ะ
ดังนั้นการที่เรียนต่อเพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดค่ะ นับถือ ยกย่องค่ะ
โรงเรียนไหนนะ ช่าง....จริง ๆ เลยครับ
ไม่เป็นไรครับนายบอนกับคุณน้อย ไว้เรามาเปิดโรงเรียนร่วมกันครับ
"โรงเรียนชีวิต"
แล้วให้ทุก ๆ คนทำหน้าที่ทั้งครู นักเรียน ภารโรง แม่บ้าน ทำทุก ๆหน้าที่ไปพร้อมกันเลยครับ