10 โมงของเช้าวันหนึ่ง เพื่อนเหนกที่เป็นสัตวแพทย์แต่ไปใช้ชีวิตด้วยการตกปลาอยู่ริมน้ำชีเป็นแรมเดือน จนถูกแซวว่าเรามีเพื่อนเป็นชาวประมง โทรมาบอกว่า “ตาหนูเสียแล้วเด้อ” เสียที่ริมน้ำชี เป็นที่ที่แกชอบ แต่ตาหนูก็ไปด้วยสงบและสนุก เพราะก่อนตายปลาใหญ่เข้าทั้งวัน นี่คือเรื่องเล่าจากเอนก
ปลาใหญ่เข้า...คงเป็นเรื่อราวที่ท้าทายและประสบการณ์ของนักเล่นเบ็ด ที่คนอย่างเราๆ นึกอารมณ์นั้นไม่ออก
แม้แต่อารมณ์ของความสูญเสีย ความผูกพันระหว่างกลุ่มคนตกปลาที่แวะเวียนไปรวมกลุ่มตกปลาในเวลาที่ว่างจากภารกิจทั้งปวง คนอย่างเราๆ ก็อาจจะนึกไม่ออกเช่นกัน
เพราะยากนักจะมีโอกาสได้ไปสัมผัส ด้วยรูปแบบแห่งวิถีชีวิตที่เราเลือกใช้ที่แตกต่างกัน แต่ในงานศพตาหนูทำให้เราสัมผัสอารมณ์นั้นได้อย่างชัดเจน หลายคนไม่พูดกันว่าตาหนูตายอย่างไร มองตากันแล้วก็เข้าใจ จนเป็นที่น่าทึ่งว่า ตาหนูมีดีอย่างไร ที่ทำให้เพื่อนร่วมก๊วนตกปลาอาลัยรักได้ถึงขนาดนี้
งานศพตาหนูเป็นงานเล็กๆ ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านโคกน้อย-หนองแสง ต.พระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น นอกจากญาติโกโหติกาของตาหนูโดยตรงแล้ว ในงานยังเต็มไปด้วยลูกๆ หลานๆ นักเล่นเบ็ดที่นับถือตาหนู เซียนเบ็ดอาวุโสแห่งลำน้ำชี ที่มักใช้ชีวิตเรียบง่ายแถวๆ ฝายท่ายาง เขื่อนขอนแก่น นักเล่นเบ็ดแห่งลำน้ำชี-ลำน้ำพองแถบฝั่งขอนแก่น-เชียงยืน รู้จักกันดี ลูกหลานเหล่านี้ไม่ใช่ญาติแต่ดูแลตาเหมือนญาติ ทั้งตอนมีชีวิตอยู่และวาระสุดท้ายในการส่งสการตาไปสู่สุขคติ
เอนก เป็นผู้ที่ทำให้เราได้รู้จักกับตาหนู...แต่ตาหนูอาจจะจำเราไม่ได้...ประโยคบอกเล่าสั้นๆ ที่กล่าวถึงตาหนูในบางโอกาสหรือปฏิเสธกิจกรรมหรือกิจธุระที่เราจะอาศัยไหว้วาน ด้วยว่า “เป็นห่วงตา ตาแกแก่แล้ว” ด้วยว่าตาน้ำหนักเพียง 47 กก. แต่เราอิอิ 74 (ที่จำได้เพราะตาบอกให้เติมข้าวอีก เดี๋ยวจะผอม ถึงได้คุยกันเรื่องน้ำหนักตัว) น้ำหนัก 47 กก. นี่เป็นอุปสรรคสำหรับการสู้รบปรบมือกับปลาใหญ่อย่างยิ่ง ในกระดานหัวข้อน้ำจืดของเว็บสยามฟิชชิ่ง เล่าบอกว่า วัย 73 ปีและน้ำหนักของตาหนูแทบจะไม่แรงยกปลาขนาดบิ๊กที่ตกได้ขึ้นถ่ายรูป
3
ช่วงเดือน พย. 2553 น้ำท่วมใหญ่ขอนแก่น บริเวณแม่น้ำชีก็ท่วมหมด ทำเลที่ตาหนูปักหลักตกปลาก็ท่วมด้วย เสร็จธุระดึกดื่นขนาดไหนเอนก ต้องลุยน้ำเข้าไปก็ไม่หวั่น เอนกยังออกจากเมืองไปหาตาหนู นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้รู้จักตาหนูด้วยการลุยน้ำท่วมเข้าไปตอนเกือบ 5 ทุ่ม เรื่องเล่านี้อาจไม่ได้เล่าด้วยคำพูดแต่เล่าด้วยการกระทำ...ทำไม ตาหนู ถึงครองใจหลายต่อหลายคนนัก
พี่นุช ภรรยาของพี่สมโภช 1 ในสมาชิกตกปลา ที่มีโอกาสได้พูดคุยในเวลาสั้นๆ หลังจากการวางดอกไม้จันทน์เสร็จสิ้น แม้จะรู้จักพี่นุชเดี๋ยวนั้น พี่สมโภชนี่ก็เคยแค่ทักทาย เดินสวนกันที่อื่นก็คงจะจำกันไม่ได้ เล่าบอกว่า พี่สมโภชรักตาหนูเหมือนพ่อ ผลัดกับกับอเนกอยู่เป็นเพื่อนตา กางเต้นท์นอนกับตาบางครั้งเป็นแรมเดือน จนตาบอก กลับไปหาเมียบ้าง แต่ถ้าฝืนได้พี่สมโภชก็ขออยู่กับตาก่อนเพราะพี่นุชเข้าใจ แต่หากตาบอกอะไร คนส่วนใหญ่มักทำตาม...ทำให้วาระสุดท้ายของตาหนู...พี่สมโภชไม่ได้อยู่กับตาเพระเชื่อในคำแนะนำของตาที่กลับบ้านไปหาเมีย เช่นเดียวกับเอนก คำว่า ครับ ที่ใช้กับตา ฟังดูอ่อนโยนเหลือเกิน ในขณะที่คำเดียวกันที่ใช้กับคนอื่นไม่ได้แสดงออกถึงการยอมรับอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเดียวกับพูดกับตาหนูเลย และเอนกก็คงรู้สึกไม่ต่างจากพี่สมโภชที่รักตาหนุเหมือน "พ่อ"
อาจจะเป็นเพราะเรื่องเล่าที่เอนกเคยเล่าผ่านประโยคสั้นๆ ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า ตาหนูคือคนพิเศษของเอนก
อาจจะเป็นความทรงจำดีๆกับเวลาเล็กน้อย จากการได้นั่งกินข้าวด้วยกันเพียงครั้งเดียว หรือประโยคทักทายว่า “หวัดดีตา” ...”เออ หวัดดี” ด้วยเสียงเมตตาเอ็นดู พร้อมว่า อย่าคิดมาก ว่างๆ ก็ออกมาเล่นที่นี่
ความสัมพันธ์ของคนตกปลากลุ่มนี้ ทำให้เรามองย้อนไปยัง “คม” พี่ชายสุดที่รัก ที่เล่นเบ็ดมานาน มากกว่า 10 ปีแล้วมั้ง โลกของคม กับ สมาคมชาวเบ็ด คงมีความสุข เพราะวันไหนๆ ถ้าคม มีเวลาว่าง คมจะไปตกปลาเสมอ จนบ้านเราเบื่อที่กินปลากันแล้ว แต่คมก็ยังไปตกปลาตล้อดตลอด...โลกของคมคงมีความสุขเหมือนตาหนู...
นานมาแล้วสินะที่ไม่ได้ไปตกปลากับคมเลย
ทำไมเราไม่ลองไปสัมผัสโลกอันแสนสุขของคมบ้าง...เผื่อพี่ชายเราจะมีโลกที่ยิ่งใหญ่เหมือนตาหนู สิ่งที่คนในครอบครัวอาจไม่เคยรับรู้อาจอยู่ในก๊วนคนตกปลาก็ได้ ...บางทีเราอยากรู้ว่าอะไรคือความฝันของพี่ชายเรา น่าเสียดายนะที่เราจะผลาดโอกาสรับรู้ เพียงแต่เพราะเรามีโลกของเรา เหมือนมนุษย์ส่วนใหญ่ต่างมี "โลกส่วนตัว" กัน
โปรเจกค์ต่อไป เราคงต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่จะหมุนโลก 2 ใบทีมีวิถีแตกต่างกันให้ Intersection กัน เพื่อขอเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวของคนคนหนึ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตของเรา
ไม่อยากให้มองว่า การที่ไม่ได้ไปด้วยไม่ใช่ว่า วิถีชาวตกปลา จะทำให้เราลำบากนะ แต่ที่ไม่ล้ำเส้นเพราะ ด้วยความเกรงใจมากกว่า กลัวว่าเราจะวุ๊นว้าย เพราะโลกของผู้ชาย โลกของพี่ ที่ไม่ต้องเทคแคร์ผู้หญิง น้องนุ่ง น่าจะเป็นวันสบายๆ สำหรับพวกเค้าเหล่านั้น
เอ๋ ... จะมีใครชวนเราไปตกปลาหรือเปล่านี่...ถ้าขอไปตกปลากับคม คมจะดีใจ หรือว่าเราวุ๊นว้ายกันนะ ... อยากรับรู้เรื่องราวของคนบางคน ด้วยตัวของเราเอง มากกว่าฟังเรื่องเล่าของคนๆ นั้นจากใครคนอื่น
สงสัย ถ้าเอ่ยปากว่า คม...ถ้าว่างหนูไปตกปลาด้วยนะ คมต้องคิดว่าน้องมีปัญหาชีวิตเป็นแน่แท้...ก็แค่รักหน่ะตัวเอง
และเป็นที่น่าแปลกใจกับทฤษฎี "หากนับไป 7คน 1ในนั้นจะรู้จักกัน" ด้วยวันที่ 15/04/11 หลังจากที่ตาหนูเสียได้ประมาณ 2 เดือน เพิ่งได้มีเวลาคุยกับคม ทำให้รู้ว่า "คมกับตาหนูรู้จักกัน" นอกจากการซักไซ้ไล่เรียงและเล่าบอกถึงความเป็นมาแต่หนหลังระหว่างคมกับตาหนู แล้ว คมยังเล่าบอกวิธีทำเหยื่อจากเปลือกและซังข้าวโพดให้น้องฟังอย่างสนุกสนาน พร้อมกับบอกว่า เหยื่อที่ผสมหัวเชื้อสารแต่งกลิ่น เช่น นมแมว นี่คมไม่ใช้ตกปลาจากแม่น้ำทั่วไปนะ มันทำให้ธรรมชาติผิดเพี้ยน จะใช้กับบ่อตกปลาเท่านั้น ท้ายสุดก็บอกว่า "ดีแล้วหล่ะที่นู๋ได้ไปงานศพตาหนู" และถามต่อไปว่า "ใครคือเอนก" คำตอบก็คือ เพื่อน...บอกไปคมก็ไม่รู้จัก
ที่ยังไม่ได้เล่าถึงการได้ไปทำบุญหาตาหนูที่ริมชี...ซึ่งตอนแรกกะไปโฮมบุญเฉยๆ เอาไปเอามาได้หอบหิ้วสรรพสิ่งไปโฮมด้วย พร้อมกับไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อจนถวายเพลเสร็จ นี่ก็ได้ไปร่วมทำบุญก็เพราะเพื่อนเอนกอีกนั่นแหละ
เอาเป็นว่า หนูได้ทำบุญกับตาหนูแทนคมแล้วหล่ะ...ซึ่งต้องขอบคุณนายเอนกด้วยเช่นกันที่เชื้อเชิญ
ขออนุญาตนำภาพจากของคุณ kkfishery จากสยามฟิชชิ่งเว็บมาใช้ในบันทึกนะคะ ไว้อาลัยกับตาหนูร่วมกัน
ขอให้ ตาหนู ไปสู่สุคติครับ..
ขอบคุณคุณ nameless นะคะที่ร่วมไว้อาลัยกับตาหนู
พฤษภกาสร อีกกุญชน อันปลดปลง
โททนต์ สเหน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
พระท่านว่าไว้ดังนี้ครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ขจิต