จะไม่พูดถึงการตั้งศพ การสวดศพ เพราะดูแล้วในส่วนนั้นมิได้มีปริศธรรมใด ๆ ขอข้ามไปในส่วนขอการเผาศพเลยนะคะ วันเผาศพ การเลือกวันเผาศพ ทางภาคใต้ถือเอาวันขึ้นแรมเป็นสำคัญ คือ ข้างขึ้นห้ามเผาวันเลขคี่ ข้างแรมห้ามเผาวันเลขคู่ การนำศพไปเผา สมัยก่อนมักนิยมจัดงานศพที่บ้านผู้ตาย เวลาจะนำศพออกจากบ้านต้องทำ "ประตูพราง" คือเอาไม้สี่อันทำเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทาบไว้ที่ประตูเรือนข้างนอกที่จะนำศพออกไป ประตูพรางนี้เมื่อนำศพออกแล้วให้เอาออกทิ้งเสีย เมื่อเคลื่อนศพจต้อให้ลูกสุดท้องหรือหลานคนสุดท้องของผู้ตายถือ"ข้าวบอก" ตามศพไปด้วย ผู้ถือข้าวบอกต้องนุ่งขาวห่มขาว ศพที่จะนำออกจากบ้ านให้เอาเท้าไปก่อน และให้กลบลบรอยคนหามเสียด้ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ผีกลับบ้านถูก ต้องมีพระนำศพเรียกว่า "พระเบิกทาง" เดินนำศพ มักเลือกพระเถระที่ผู้ตายนับถือ มีข้าวตอกโปรยไปตลอดทาง เป็นเสมือนว่าโปรยปรายพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้แก่เวไนยสัตว์ เพื่อให้คนที่พบเห็นเกิดศรัทธาและสำนึกในความตายอันเป็นที่สุดของสังขาร เมื่อนำศพไปถึงป่าช้าแล้วจะหามศพเวียนที่เผาเป็นอุตราวรรต ๓ รอบ(ตรงข้ามกับเวียนทักษิณาวรรตที่ใช้กับเรื่องมงคล) จึงยกศพขึ้นตั้งบนที่เผา ต้องหันศีรษะของศพไปทางทิศตะวันตก เป็นนัยว่า เมื่อผู้ตายเกิดใหม่ให้ได้พบกับดวงอาทิตย์ในเวลาเช้า(พบกับแสงสว่างหรือแสงธรรม) จึงเกิดเป็นคติว่า คนเป็นไม่ควรนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก ที่เผาศพ สมัยก่อนทางภาคใต้ไม่มีเชิงตะกอนถาวร นิยมทำขึ้นชั่วคราวเท่านั้นโดยปักเสาขึ้นสี่ ๔ ต้น มีเพดานดาดบน เรียกว่า "สามส้าง" หรือ "สามสร้าง" เป็นปริศนาธรรมว่า เสาทั้ง ๓ เสา แทน การสร้างภพและชาติ ส่วนเสาที่ ๔ เป็นเสาพิเศษ ที่ให้หลุดพ้นจากการสร้าง กล่าวคือ เสาที่ ๑ หมายถึงกิเลสตัณหา อุปาทาน เสาที่ ๒ ได้แก่ กรรม (การกระทำ) เสาที่ ๓ ได้แก่วิบาก (ผลของกรรม) เสาที่ ๔ หมายเอาพระนิพพาน คือผู้ที่หมดกิเลสตัณหา ลอยบุลอยบาปได้แล้ว เป็นการสิ้นภพสิ้นชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด การประชุมเพลิง เมื่อประชุมเพลิง ห้ามมิให้จุดไฟต่อจากคนอื่น ปริศนาธรรมตรงนี้ได้รับคำอธิบายว่า ไฟ หมายถึง ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟที่ไม่พึงไปต่อจากใครมาสู่ตนและเมื่อไฟเริ่มติดลุกลาม จะใช้ผ้าที่ปิดฝาโลงซัดข้ามยอดเปลวไฟกลับไปกลับมา๓ ครั้ง (ตอนครูอิงเด็ก ๆ ก็เคยเห็นเขาทำแบบนี้ เราเด็ก ๆ ไม่ทราบว่าเขาทำไปเพื่ออะไร)เพิ่งทราบภายหลังว่า การทำเช่นนี้เป็นนัยบอกให้รู้ว่า ไฟทั้ง ๓ กอง คือ ราคะ โทสะ และโมหะ นั้นอาจหลีกข้ามเสียได้ การทำโลงศพ เคยเฝ้าสังเกตเวลาพ่อทำโลงศพ พบว่า การทำโลงศพ ต้องทำให้ปากโลงผายกว่าก้นเล็กน้อย เอาดินเหนียวมาตำผสมกับใบบอนและใบฝรั่ง เพื่อให้ดินเหนียว ยาตามแนวก้นโลงและข้าง ๆ เอาปูนขาวผสมด้วยสิ่งที่ดูดซึมได้โรยรองไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นนิยมใช้ใบฝรั่งตำ หรือ ขี้เลื่อยก็ได้ ใบฝรั่งช่วยแก้กลิ่นเหม็นได้ ฉันเคยเห็นพ่อเอาไม้รอด ๔ อัน ตอกตั้งขวางไว้ในโลง พ่อบอกว่าเป็น "ไม้ข้ามเล"(ทะเล) ฉันไม่เข้าใจความหมายมากนัก แต่พ่อก็อธิบายว่า ไว้ให้คนตายใช้เป็นเครื่องข้ามโอฆะ ๔ ได้แก่ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิษฐิโอฆะ และ อวิชชาโอฆะ บางครั้งฉันยังเคยช่วยพ่อนำฟาก ๗ ซี่ วางลงบนไม้รอดอีกทีหนึ่ง ฟาก๗ ซี่นั้นต้องถักด้วยเชือกเป็น ๓ แห่ง พ่อบอกว่าที่ต้องกรอง ๓ เปลาะ เพราะหมายถึง พระสูตร พระวินัย และพระปรมัตถธรรม รวมความก็คือไม้รอด และ ไม้ซี่นี้ ใส่เอาไว้เพื่อให้ผู้ตาใช้เป็นเครื่องข้ามโอฆะนั่นเอง จึงห้ามมิให้กรองฟากกลับไปกลับมาก็เป็นปริศนาธรรมว่าผู้ตายจะได้ไม่ต้องเกี่ยวพันกับโลกอีกต่อไปนั้นเอง เมื่อศพบรรจุลงในโลงแล้ว ต้องนิมนต์พระมาสวดอภิธรรม ๑ จบ ภาคใต้จะเรียกว่า ๑ เตียงเป็นการ "สวดหน้าศพ" หรือ "สวดหน้าไม้" |
ได้ความรู้เรื่องนี้มากเลยค่ะ พี่ดายังไม่เคยอ่านหรือทราบรายละเอียดอย่างนี้มาก่อน
ขอบคุณมากๆค่ะ ภาพตะวันงามมากค่ะ
คุณครูอิงจันทร์ ครับ
คุณครูอิงจันทร์ ครับ
สวัสดีค่ะ ครูอิง ขอบคุณความรู้เรื่องปริศนาธรรม...ฯ
พิธีกรรมในงานศพทางใต้ ดิฉันก็ไม่มีความรู้มาก่อน
ทั้งที่เกิดทางใต้ เห็นงานศพมาตั้งแต่เป็นเด็ก
จำได้ว่าสมัยก่อนงานศพมีหลายวันกว่าจะเผา ถ้าเป็นแถวชนบท เขาจะล้มวัว/หมู เลี้ยงคนในงาน มีการเล่นการพนัน เป็นเพื่อนศพเหมือนที่คุณสันติสุขเม้นท์ค่ะ แต่ไม่ค่อยตั้งศพในบ้าน จะกางเต๊นท์ตั้งศพนอกบ้าน ประตูพรางจึงไม่ค่อยเห็น
แต่ถ้าในเมือง ส่วนใหญ่หลายบ้านเขาตั้งศพที่วัด ตั้งตามบ้านก็มี โดยมักจะเป็นผู้มีฐานะ เป็นที่รู้จักของคนในเมืองนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมเหล่านี้ก็ยังมีความต่างกันในแต่ละจังหวัดนะคะ
มีบทกล่อมลูกหรืออะไรนี่แหละของคนใต้ ที่มีคำว่า "มะพร้าวนาฬิเกร์ โด่เด่อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้องน้ำท่วมไม่ถึง " แล้วก็ตอนสุดท้าย มีคำว่า จะถึงได้แต่ผู้พ้นบุญเอย ดูแล้วบทกล่อมลูกบทนี้น่าจะมีอะไรให้ศึกษานะ คุณครูก็ลองขยายความดูบ้าง เนื้อที่ยกมาไม่สมบูรณ์ขออภัยด้วย.ที่ว่าเป็นบทกล่อมลูกหรือไม่นั้นก็ไมชัดเจนนะ อาจจะเป็นบทอะไรสักอย่าง
เมื่อคืนกลับจากรุงเทพฯ ช่วงลำเขื่อนลำตะคองระหว่างสระบุรีกับโคราชได้พบเห็นอุบัติเหตุ จากนั้นเขาก็เอาคนไม่นอนราบที่ข้างถนนไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร สภาพรถเสียหายมาก คนก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงแต่ประการใด และช่วงนั้นขาเข้ากรุงเทพฯรถติดมาก พูดถึงอุบัติเหตุ ถ้าหากชายคนนั้นได้เสียชีวิตลง การตายในลักษณะนี้ทางพระศาสนาท่านว่า..อุปัจเฉทมรณะ สิ้นชีวิตเพราะอุบัติเหตุมาตัด หรือบางครั้งเรียกว่ากรรมหนักมาตัดรอน. ต้องขออภัยคุณครูด้วยที่เอาเรื่องตายมาพูด แต่รับฟังไว้ด้วยใจที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เวลาขับรถให้มีสติ ไม่ขับเร็วจนเกินไป..