เมื่อกล่าวถึงเรื่องของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก คือ จิตสำนึกจะเป็นสมมุติสัจจะคือสำนึกว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่จิตใต้สำนึกจะเป็นปรมัธสัจจะ เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งที่เกิดจากเจตนาแฝง แล้วหากว่าใครก็ตามที่ไม่รู้จักสำรวจตนเองให้ดีแล้วมีประสิทธิภาพแล้ว การกระทำในระดับเจตนาแฝงซึ่งเป็นปรมัสัจจะก็จะไม่ดีด้วยจิตใต้สำนึกอย่างแท้จริง การกระทำอะไรด้วยจิตใต้สำนึกจะเป็นสิ่งที่ทำอะไรให้เกิดขึ้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ถ้าเจตนาแฝงไม่ดีโอกาสในการสร้างบาปโดยอัตโนมัติก็มีมากขึ้น แล้วการสำรวจตนเองต้องหมั่นทำอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราสำรวจตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน จิตสำนึกที่ดีจะเปลี่ยนเป็นจิตใต้สำนึกที่ดีได้เอง
จิตสำนึกที่ดีแต่จิตใต้สำนึกไม่ดี หากสมมุติว่าทำอะไรออกมาผลที่เกิดขึ้นจะถือว่าเป็นการทำบาป หากจิตสำนึกไม่ดีแต่จิตใต้สำนึกดีผลที่เกิดขึ้นคือการสร้างบุญ ในระดับกระบวนทางความคิดนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ นั่นหมายความว่าถ้าจิตใต้สำนึกไม่ดีแต่จิตสำนึกดีย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก คนเราส่วนมากมักมองเจตนาในระดับที่เป็นลักษณะจิตสำนึกเท่านั้น จิตสำนึกจะเรียกอีกอย่างว่าสามัญสำนึก แต่จิตใต้สำนึกจะถูกผลักดันแล้วแฝงออกมาปะปนอยู่กับการกระทำในระดับจิตสำนึกเสมอ ทำให้สิ่งที่ตนเองแสดงออกให้คนอื่นรู้ บิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น เช่นทำออกมาแล้วตนเองและคนอื่นเห็นว่าดี แต่ผลเกิดขึ้นกับตนเองกลับไม่ดี เพราะเจตนาแฝงที่ลึกลงไปไม่ดี เช่นเจตนาหลักหรือจิตสำนึกที่แสดงออกให้คนอื่นเห็นนั้นดี แต่เจตนาแฝงทำไปด้วยอคติแห่งความกลัว ถึงแม้เจตนาหลักจะดีแต่มื่อทำสิ่งนั้นออกไปแล้วด้วยความกลัว ผลที่เกิดขึ้นกับตนเองย่อมไม่ดี เพราะผู้ทำอะไรให้คนอื่นด้วยอคติแห่งความกลัว แม้ผลที่ออกมาจะดีต่อผู้อื่นเพียงใดก็ตาม แต่ผลที่ตนเองได้รับย่อมไม่ดีต่อตนเอง เนื่องจากผู้มีอคติแห่งความกลัวย่อมทำให้ความจริงใจน้อยลง
ความกลัวนั้นหากอยู่ในระดับที่ไม่รู้ตัว จะถูกแสดงออกมาในลักษณะของการปฏิเสธออกมาทันทีไว้ก่อน เช่นคุณไม่ได้อาบน้ำใช่หรือไม่ ถ้าคนที่กลัวจะตอบไปเลยว่าเปล่าผมอาบน้ำแล้ว แท้จริงแล้วตนเองรู้ว่าตนเองก็ไม่ได้อาบน้ำ การกระทำเช่นนี้จะถูกกระทำไปโดยอัตโนมัติ แล้วนั่นหมายความว่าเป็นการแฝงไปด้วยความกลัวโดยที่ไม่รู้ ความกลัวนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่าจิตใต้สำนึกหรือเจตนาแฝง แต่เป็นเจตนาแฝงที่เร้นลงไปหยั่งรากลึกจนถึงระดับที่ขับดันความกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว หากผู้ใดสำรวจตนเองไม่ดีแล้วมองไม่เห็นเจตนาแฝงในระดับลึกลงไปในระดับฝังลากลึก จะเป็นตัวตัดสินในผลขั้นสุดท้ายว่าการกระทำนั้นจะเป็นการสร้างบุญหรือสร้างบาป
ความกลัวในระดับลึกเช่นนี้มาจากจิตสำนึกในการเอาตัวรอด การเอาตัวรอดเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต หรือเป็นปรมัธสัจจะของสิ่งมีชีวิต สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดก่อให้เกิดความกลัวขึ้นในระดับจิตสำนึกแล้วที่เป็นอันตรายคือความกลัวในระดับจิตใต้สำนึกด้วย แล้วไม่แต่เพียงความกลัวในระดับที่เป็นจิตใต้สำนึกนั้น ความเกลียด ความโกรธ ความหลงในระดับจิตใต้สำนึกก็เป็นอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะอคติทั้ง 4 นั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือแม้แต่เข้าใจผิดในหลักธรรมคำสอนได้ เช่นอคติเพราะความพอใจจะเป็นเหตุทำให้หาเหตุแห่งความชอบธรรมให้คนรักอยู่เสมอ หากทำไปโดยที่ไม่รู้ตัวจะเห็นว่าคนที่เรารักนั้นเป็นคนดีเสมอ หรืออาจจะทำให้เข้าใจหลักผิดไปจากความเป็นจริงแล้วอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาได้
จุดชี้ขาดที่จะทำให้ใครก็ตามประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติรรมหรือไม่ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเรื่องของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก แล้วให้รู้ตนเองให้ได้ แล้วมองให้ออกว่าตนเองมีเจตนาแฝงอย่างไร หากว่าใครก็ตามยังมีอคติทั้ง 4 อยู่ไม่ว่าจะเป็น พอใจ หลง โกรธ กลัว จะทำให้ผู้นั้นเข้าถึงแล้วแก้ไขเจตนาในระดับจิตใต้สำนึกได้ยากยิ่ง เพราะอคติเพราะพอใจจะเป็นอุปทานหาเหตุให้คนที่ตนเองรถูกเสมอแล้วพยายามหาให้ได้ อคติเพราะหลงจะพยายามหาเหตุให้ตนเองดูดีกว่าคนอื่นไห้ได้ อคติเพราะโกรธจะทำให้ผู้ที่เราโกรธทำอะไรก็ขัดใจเราไปเสียทุกอย่าง อคติเพราะกลัวทำให้ผู้นั้นขี้ขลาดไม่กล้าปฏิบัติหรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง อคติทั้ง 4 นี้เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว จะทำให้ผู้นั้นไม่สามารถให้เหตุผลที่ชอบธรรมต่อผู้อื่นได้ เช่นอคติเพราะหลง หากตนเองว่าตนเองปฏิบัติธรรมได้ดีกว่าผู้อื่นก็จะไม่สามารถอธิบายให้ผู้นั้นยอมรับในเหตุผลที่ตนเองอธิบายให้เขาฟังได้ จิตสำนึกของตนก็จะไม่ดีแล้วจะกระทำอะไรไปด้วยความประมาทเสมอ
จะเห็นได้ว่าอคติเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติธรรมเสมอ เพราะผู้มีอคติจะไม่อาจเข้าถึงแล้วแก้ไขจิตใต้สำนึกของตนได้ เนื่องจากประตูด่านหน้าของจิตใต้สำนึกคืออคติ ถ้าหากไม่มีอคติจะทำให้ผู้นั้นให้เหตุผลแล้วเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมได้ นั่นจะพิสูจน์ได้ว่าผู้นั้นมีหรือหลุดพ้นจากอคติได้ เหตุผลที่ชอบธรรมย่อมเป็นปรมัธสัจจะแล้วไม่อาจหาเหตุใดมาหักล้างเหตุผลนั้นได้เลยจึงเชื่อว่าผู้นั้นปราศจากอคติทั้ง 4