กรมบัญชีกลางชี้แจง ที่จะมีมาตรการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ 9 กลุ่ม ไม่ใช่เพราะราคาแพงแต่เพราะใช้เกินความจำเป็น


กรมบัญชีกลางชี้แจง ที่จะมีมาตรการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ 9 กลุ่ม ไม่ใช่เพราะราคาแพงแต่เพราะใช้เกินความจำเป็น

กรมบัญชีกลางชี้แจง ไม่ได้ตัดสิทธิการเบิกค่ารักษาจากการใช้ยาดีมีคุณภาพ ยาจากต่างประเทศ หรือยาราคาแพง  โดยผู้มีสิทธิยังคงเบิกค่ารักษาได้เช่นเดิม  ยกเว้น ยาที่ไม่มีผลชัดเจนในการรักษา หรือใช้ยาเกินความจำเป็นของอาการ  ทั้งนี้ มาตรการด้านการเบิกค่ายาต่างๆ มีข้อมูลวิชาการแพทย์และความเห็นจากฝ่ายแพทย์ประกอบทั้งสิ้น

นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลางชี้แจงว่า กรอบวิธีปฏิบัติของกรมบัญชีกลางในการจัดทำมาตรการควบคุมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ระบุว่า ยาที่ไม่สามารถเบิกได้ หมายถึงยาที่ขาดหลักฐานแสดงความคุ้มค่า และ/หรือความสมเหตุสมผล  ซึ่งในบางกรณีหมายถึงการใช้ยาเกินความพอเพียงของอาการของโรค  โดยยาที่เบิกได้ในปัจจุบันมีทั้ง “ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ” และ “ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ” ซึ่งบัญชียาหลักแห่งชาติเป็นบัญชียาที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ จัดทำขึ้นสำหรับใช้ในระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงยาได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นไปอย่างคุ้มค่า มีทั้งยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ และยาที่ผลิตในประเทศไทย 

สำหรับการวางมาตรการควบคุมการเบิกค่ายานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ เป็นการศึกษาข้อมูลจากโรงพยาบาลของรัฐ 34 แห่ง  คือ

1. มีกลุ่มยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ 6 กลุ่ม ที่มียาในบัญชียาหลักแห่งชาติสามารถใช้ในการรักษาได้ ได้แก่
ยาลดไขมันในเลือด ยาลดแผลและเลือดออกในกระเพาะอาหาร ยาต้านอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ ยาเบื้องต้นในการรักษาความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจล้มเหลวแบบเลือดคั่ง ยาลดความดันโลหิต ยาป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงควรใช้ยาจากบัญชียาหลักแห่งชาติก่อน  แต่หากผู้ป่วยประสงค์จะใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ก็อาจต้องร่วมจ่ายค่ายา
ซึ่งกรมบัญชีกลางจะกำหนดราคาอ้างอิงสำหรับส่วนที่ให้เบิกจ่ายได้ต่อไป แต่หากผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใช้ยานอกบัญชี
ยาหลักแห่งชาติ เนื่องจากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์  กรมฯ ก็จะต้องเยียวยาผู้ป่วยดังกล่าวโดยไม่ต้องร่วมจ่าย ซึ่งขณะนี้
อยู่ระหว่างการพิจารณาและวางระบบการเบิกจ่ายที่เหมาะสม

2. กลุ่มยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติที่มีความจำเป็นต้องใช้สำหรับผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ ยามะเร็ง
ยาป้องกันโรคกระดูกพรุน ยังคงให้เบิกจ่ายได้ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่องค์กรวิชาชีพ เช่น ราชวิทยาลัย สมาคม กำหนด  เนื่องจากพบว่ามีการสั่งใช้ยาในกลุ่มยามะเร็งเกินกว่าระยะของอาการของโรค  ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อผู้ป่วย เพราะจะทำให้มีการดื้อยา และเมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้นถึงระยะที่ควรได้รับยาชนิดนี้ก็ไม่สามารถควบคุมอาการได้แล้ว  หรือกรณีที่มีการสั่งใช้ยาเป็นจำนวนมากเพื่อจะได้ไม่ต้องไปพบหมอบ่อยๆ ก็อาจมีผลเสียได้ เช่น อาการของโรคควรได้รับยาตัวใหม่แล้ว เป็นต้น

ทางกรมบัญชีกลางขอยืนยันว่าผู้มีสิทธิยังคงเบิกค่ารักษาพยาบาลสำหรับอาการป่วยได้ทุกโรค โดยไม่ถูกลิดรอนสิทธิ  แต่ต้องมีวิธีบริหารจัดการให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดูแลการใช้เงินของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชนให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าที่สุด กำจัดส่วนที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น  และขณะนี้ทางกรมฯ ได้เริ่มมีการประชุมหารือร่วมกับโรงพยาบาลของรัฐ 2 – 3 แห่งแล้ว เพื่อหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ผู้มีสิทธิและครอบครัว  สำหรับกรณีที่
ทางโรงพยาบาลเห็นว่า จะทำให้รายได้ของโรงพยาบาลลดลงไม่สามารถนำเงินไปชดเชยกับการรักษาฟรีผู้ป่วยรายอื่นๆ  นั้น เป็นการบริหารจัดการของโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลก็เป็นส่วนราชการ หากงบประมาณไม่พียงพอ ก็ต้องขอรับการจัดสรรเพิ่มเติม ซึ่งต้องมีการพิจารณาแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อให้ประชาชนของประเทศได้รับสวัสดิการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเสมอภาคกัน  นายรังสรรค์ กล่าว

 

หมายเลขบันทึก: 423713เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 15:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

กลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง น่าสงสารมาก เขาต้องทุกข์ทรมานกับโรค เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วสั่งจ่ายยาให้แม้ว่าจะมีราคาแพง กรมบัญชีกลางก็ควรที่จะอนุมัติ เพราะไม่มีใครอยากจะป่วยแต่ถ้าป่วยแล้วก็ต้องรักษาให้ถึงที่สุด ทำไมต้องอ้างเรื่องภาษีของประชาชน ในเมื่อทุกคนไม่ได้ป่วยกันหมด ก็ควรนำเงินนั้นมารักษาคนที่ป่วยให้ดีที่สุด อย่ามัวแต่อ้างว่าเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ ตัวคุณ ญาติคุณ ไม่ได้เดือดร้อนจากข้อจำกัดดังกล่าวคุณไม่รู้หรอก ควรที่จะอนุมัติตามที่แพทย์วินิจฉัยแม้ว่ายาจะแพงก็ตาม แค่นี้ประเทศไม่จนหรอก คนที่เขาจ่ายภาษีเขาไม่ได้ใจดำเหมือนพวกที่มัวแต่นั่งห้องแอร์อ้างระเบียบ

เป็นข้าราชการบำนาญจากการเออรี่รีไทน์มา 2ปี มีคุณพ่อ-แม่อายุมากกว่า 80ปีเป็นโรค ความดัน ไขมัน เบาหวานซึ่งเป็นโรคคนแก่ที่ส่วนใหญ่มักเป็นกันแม้จะดูแลสุขภาพมาเป็นอย่างดียามเมื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาวก็ตามเมื่อก่อนเคยเบิกค่ารักษาพยาบาลได้หมดแต่มาวันนี้ไม่ได้แล้วทั้งที่เป็นยาเพื่อการรักษาไม่ใช่ใช้ยาเกินจริงคือยาadalatและdiovanเพราะคุณแม่เป็นความดันสูงมาก เพราะถ้าไม่จำเป็นคุณหมอคงไม่ให้หรอกเพราะเบิกไม่ได้แล้วแต่คุณหมอบอกว่ายังจำเป็นและยังคงให้อยู่โดยต้องออกค่าใช้จ่ายเอง อยากเรียนให้ทราบว่าตอนทำงานตั้งใจทำงานจริงยินดีรับเงินเดือนน้อยเพราะต้องการสวัสดิการพวกคุณที่ยังทำงานอยู่ยังไม่เจอปัญหาเพราะยังไม่แก่ แต่เมื่ออายุมากแล้วคุณจะรู้สึกว่าเราถูกหลอกลวงจากที่เคยให้สัญญาไว้เกี่ยวกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยากให้พวกคุณช่วยเป็นเสียงให้พวกเราด้วยเพราะนับจากนี้อาจจะมียาที่เบิกไม่ได้เพิ่มอีกหลายตัวอย่างน้อยก็เห็นใจคนที่เงินเดือนน้อยด้วยเพราะถ้าเรียกร้องได้พวกคุณก็ได้เหมือนกันเพราะจริงๆแล้วถ้าไม่หลอกตัวเองยาต่างประเทศหรือยานอกบัญชีหลักส่วนใหญ่จะมีคุณภาพที่ดีกว่า-ลองหาข้อมูลดู

เป็นข้าราชการมา30กว่าปีไม่เคยให้รัฐต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ พอเป็นโรคมะเร็งระยะ3หมอรักษาให้กินยาได้1ปี เรื่องหายคงเป็นไปไม่ได้ แต่รัฐก็บอกว่าจะไม่ให้เบิกค่ายาอีกแล้ว...ถ้าต้องจ่ายค่ายาซึ่งควรจะสามารถเบิกได้ตามสิทธิสวัสดิการ แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาทำงานดีๆให้รัฐ ในเมื่อจิตใจ...สลายแล้ว

ข้าราชการแก่ๆหรือคนยากจนที่ป่วยด้วยโรคพวกนี้จะทำอย่างไรไม่มีใครอยากป่วยหรอกนะค๊ะ

  ตอนนี้ สิทธิบัตรทองยังดีกว่าสิทธิข้าราชการอีก

ข้าราชการชั้นผู้น้อย

รับราชการมา 10 กว่าปี คิดว่าสวัสดิการของข้าราชการจะทำให้ตัวเอง และพ่อ แม่สบาย แต่ตอนนี้ สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลกลับถูกริดรอนสิทธิ์ แม่เป็นโรคกระดูกพรุน ต้องรับยาตลอด แรก ๆ ทางโรงพยาบาลก็จัดยาอย่างดีให้ แต่พอตอนหลัง บอกว่ากรมบัญชีกลางให้เปลี่ยนยามาใช้ยาในบัญชีหลัก แม่ทานยาตัวนี้แล้วก็ไม่เห็นดีขึ้น บอกให้ไปซื้อยาตัวเดิมที่เคยได้รับตอนแรก ๆ มาให้ คิดดูแล้วสวัสดิการของข้าราชการทำได้แค่นี้เองเหรอ ทำไมถึงไม่คิดถึงข้าราชการที่เงินเดือนน้อย ๆ บ้าง ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรอก อยากให้เห็นใจกันบ้าง

อย่าน้อยใจไปเลยค่ะคุณราชการชั้นผู้น้อย ให้คิดเสียว่าเรามีรัฐมนตรีที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประชาชนตาดำๆ มุ่งหวังแต่เพียงแต่จัดเก็บรายได้ให้เข้าเป้า และทำทุกวิธีทางในการที่จะ ลดทอนรายจ่ายการที่แพทย์ และโรงพยาบาลของรัฐต้อง จัดยาในบัญชียาหลักให้เรานั้นเพราะกรมบัญชีกลางถูกรัฐบีบมาให้ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยการบีบให้แพทย์ต้องลงความเห็นของการใช้ยานอกบัญชี ถ้าหากแพทย์จ่ายโดย กรมบัญชีกลางตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ควรจ่ายก็จะมาเก็บกับทางโรงพยาบาลแล้วก็มาลงที่แพทย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ    

ตอนนี้แพทย์ใหม่ๆ กลัวมากไม่กล้าจ่ายยาตัวเดิมที่เคยใช้โดยบอกแต่เพีงว่าตอนนี้เบิกไม่ได้เพราะผลการวิจัยบอกว่ายังไม่มีข้อบ่งชี้ว่ามีความจำเป็นทั้งๆที่เราก็บอกว่าเราขาดยาตัวนี้ไม่ได้เขาก็ไม่สนใจ ทั้งก็อย่าไปโทษแพทย์เลย ต้องโทษที่นโยบายของรัฐบาลที่เห็นแก่ตัวแตไม่เห็นใจข้าราชการเงินเดือนน้อยๆ คงจะคิดประมาณว่าถ้าทนไม่ได้ก็จ่ายเงินไปซิ โถอนิจจา

แต่ก่อนนี้ใครๆก็คิดว่าเป็นข้าราชการสบายจึงยอมทิ้งเงินสูงๆ ของเอกชนมาเข้ารัฐเพิ่อหวังสวัสดิการ แต่สุดท้ายก็แทบจะไม่ต่างจากประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นเอง

อย่าน้อยใจไปเลยค่ะคุณราชการชั้นผู้น้อย ให้คิดเสียว่าเรามีรัฐมนตรีที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประชาชนตาดำๆ มุ่งหวังแต่เพียงแต่จัดเก็บรายได้ให้เข้าเป้า และทำทุกวิธีทางในการที่จะ ลดทอนรายจ่ายการที่แพทย์ และโรงพยาบาลของรัฐต้อง จัดยาในบัญชียาหลักให้เรานั้นเพราะกรมบัญชีกลางถูกรัฐบีบมาให้ใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยการบีบให้แพทย์ต้องลงความเห็นของการใช้ยานอกบัญชี ถ้าหากแพทย์จ่ายโดย กรมบัญชีกลางตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ควรจ่ายก็จะมาเก็บกับทางโรงพยาบาลแล้วก็มาลงที่แพทย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ    

ตอนนี้แพทย์ใหม่ๆ กลัวมากไม่กล้าจ่ายยาตัวเดิมที่เคยใช้โดยบอกแต่เพีงว่าตอนนี้เบิกไม่ได้เพราะผลการวิจัยบอกว่ายังไม่มีข้อบ่งชี้ว่ามีความจำเป็นทั้งๆที่เราก็บอกว่าเราขาดยาตัวนี้ไม่ได้เขาก็ไม่สนใจ ทั้งก็อย่าไปโทษแพทย์เลย ต้องโทษที่นโยบายของรัฐบาลที่เห็นแก่ตัวแตไม่เห็นใจข้าราชการเงินเดือนน้อยๆ คงจะคิดประมาณว่าถ้าทนไม่ได้ก็จ่ายเงินไปซิ โถอนิจจา

แต่ก่อนนี้ใครๆก็คิดว่าเป็นข้าราชการสบายจึงยอมทิ้งเงินสูงๆ ของเอกชนมาเข้ารัฐเพิ่อหวังสวัสดิการ แต่สุดท้ายก็แทบจะไม่ต่างจากประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นเอง

ผมเป็นโรคเข่าเสื่อมรักษามาแล้ว 1 ปี  อาการดีขึ้น  เพราะคุณหมอบอกต้องทานยาครบ 2 ปี  แต่มาปี54 คุณหมดบอกว่ากรมบัญชีกลางไม่รับรองการใช้สิทธิสำหรับยา  เป็นเพราะอะไร  อ่านเหตุผลของกรมบัญชีกลางแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี  น่าจะบอกผลข้างเคียงหรือผลที่จะเกิดตามมาเมื่อทานยานี้ต่อไปด้วย  

 ฟังว่า สาเหตุที่มีการให้งดเบิกยาหลาย ๆ อย่าง เกิดจากการที่ รัฐต้องใข้งบประมาณสูง และมีการทุจริตในการเบิกจ่าย จึงต้องมีวิธีบริหารจัดการให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดูแลการใช้เงินของประเทศที่มาจากเงินภาษีของประชาชนให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ที่สุด

ข้อสังเกตุ : ๑. ยาที่เบิกไม่ได้ส่วนใหญ่จะเป็นยาของผู้สูงอายุ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ มักเป็น                    ข้าราชการระดับกลาง ๆ ที่ตำแหน่งงานไม่สูงมาก เป็นกลุ่มที่ทำงาน
                   เพื่อความเจริญก้าวหน้าของเจ้านาย จึงไม่มีโอกาสที่จะดูแลตัวเอง หรือ                      รับการตรวจรักษาในระยะแรก หลังเกษียณอายุแล้ว อาการของโรคจึงอยู่                    ในสภาพที่เป็นค่อนข้างมาก
                ๒. เมื่อการแพทย์เจริญขึ้น คนตายย่อมน้อยลง ดังนั้น กลุ่มคนแก่ย่อมมี                          จำนวนมากขึ้นรัฐก็ต้องจ่ายเงินดูแลมากขี้นเป็นเงาตามตัว จึงเป็นไปได้ที่                     เขาจะมองว่า  การจ่ายเงินเพื่อสุขภาพของคนแก่  เป็นการจ่ายเงินที่ได้                     ผลประโยชน์ไม่คุ้มค่า  "แก่แล้วสมควรตาย ... เพื่อปะเทศชาติ"
                ๓. ท่านที่เกี่ยวข้องกับการให้งดเบิก คงไม่มีบุพการี หรือญาติผู้ใหญ่ที่เป็น                      โรคเหล่านี้ หรือมี ท่านก็มีเงินมากพอหรือไม่ก็มีวิธีการที่จะหายามาได้                     โดยท่านไม่เดือดร้อน
                ๔. ต้องขอแสดงความนับถือสติปัญญาในการแก้ปัญหาของท่าน ที่คิดได้                     อย่างยอดเยี่ยม สัญชาตญาณในการแก้ปัญหาของมนุษย์ อะไรที่ทำแล้ว                     มีปัญหา ก็แก้ปัญหาด้วยการไม่กระทำ แม้แต่ทารกก็ใช้วิธีการนี้แก้                      ปัญหา... ขอปรบมือให้ ที่อย่างน้อยพวกท่านก็ได้แสดงออกว่ายังเป๋น                      ปุถุชนอยู่ ในฐานะผู้เสียภาษีให้รัฐอย่างเต๊มเม็ดเต็มหน่วย โดยการหัก                     ภาษี ณ ที่จ่าย ขอเสนอให้นำวิธีการเดียวกันนี้ไปใช้กับการก่อสร้าง หรือ                      การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ทุก ๆ เรื่องที่มีการทุจริต ท่านกล้าไหม...                       โปรดอย่าอ้างว่า ถ้าระงับจะเดือดร้อนกับหน่วยงานหรือผู้คนที่เกี่ยวข้อง                      เพราะการระงับการเบิกจ่ายยาก็กระทบกับผู้คน  จำนวนมากเช่นกัน  จะ                     ต่างกันก็เพียงว่า คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่ค่อนข้างจะหมด                     ประโยชน์แล้ว
                             โธเอ๋ย.. กรรมของข้าพเจ้าแท้ ๆ ...ที่... ที่ ...ที่ ... ฯลฯ

     หาเงินเข้าคลังไม่เป็น    ขายหวยบนดินสิ  กำไรงวดละพันล้านเอง เดือนละสองพันล้าน ...........เยอะแยะ ภาษีบุหรี่  เหล้า ภาษีบาป.......รถเบนซ์   ไฮโซรวยเก็บภาษีแพง

หมอเรียนเก่งทำไมยอมกรมบัญชีกลาง  ทุกคนต้องช่วยกันคิดช่วยคนป่วย ไม่ใช่ตัดสิทธิยา

อยากให้ประชาชนลุกฮือ.......ลิเบีย ..........

เข้ารับราชการเมื่อปี 2521 เพราะคิดว่าสวัสดิการดี เงินเดือนน้อยไม่เป็นไร ยามแก่เฒ่ามีสวัสดิการดูแล บัดนี้เริ่มมีอายุมาก โรคภัยมาตามอายุ จ่ายภาษีให้รัฐเต็มจำนวนไม่บิดพริ้ว สิ่งที่ได้รับจากรัฐในยามชราคือการตัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เราไม่เข้าใจหรอกว่าแพทย์จะโกงกันอย่างไร แต่เราคิดว่าแพทย์ต้องรักษาคนไข้อย่างมีมาตรฐาน มีคุณธรรม ขณะนี้แพทย์ท่านหนึ่งที่รักษาถูกให้ออกเนื่องจากการเบกิจ่ายค่ายานอกบัญชีให้คนไข้ แพทย์คนใหม่ไม่กล้าตัดสินใจในการรักษา ลังเล ย่อมส่งผลต่อการรักษา สรุปนี่หรือคือสิ่งที่รัฐให้กับประชาชนผู้เสียภาษีเต็มขั้น โชคดีที่บุพการีเราไม่มีแล้ว จึงไม่ต้องกังวลกับค่ายาอีก แต่เราใครจะดูแล เพราะเราเป็นคนโสดที่ไม่มีอะไรให้หักค่าใช้จ่ายเมื่อต้องชำระภาษี ไม่มีค่าเช่าบ้าน ค่าซื้อบ้าน ไม่มีค่าเล่าเรียนบุตร ไม่มีค่าดูแลบุพการี สุดเซ็งกับสิ่งรัฐให้ พรรคการเมืองใดๆ รัฐบาลพรรคใดใดก็ไม่มีความหมาย หากไม่คำนึงถึงประชาชนอย่างแท้จริง

ดิฉันเป็นคนหนึ่งซึ่งมีปัญหาปวดเข่า แพทย์รักษาให้โดยการให้ยาแก้ปวด และเพิ่มยาviatril s ให้ ซึ่งทำให้อาการดีขึ้น ต่อมาเริ่มมีอาการปวดไหล่ ข้อศอก แพทย์จึงรักษาแบบโรคกระดูกพรุ่น เนื่องจากเคยตรวจสุขภาพประจำปี พบภาวะกระดูกบาง (หลายปีก่อนเกษียณ) และนัดตรวจมวลกระดูกใหม่ แต่ไม่สามารถตรวจเพราะโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้บริษัทเอกชนเข้ามาให้บริการ ทำให้ดิฉันไม่ได้ตรวจและยารักษา เพราะกรมบัญชีกลางไม่ให้เบิกยานอกบัญชี ฉะนั้นจึงไม่ได้รับการรักษาที่ดีที่ดิฉันคิดว่าควรมีสิทธิรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องก่อน ถ้าไม่พบภาวะกระดูกพรุน ดิฉันก็ไม่ติดใจ และสำหรับดิฉันในการรักษาโรคจะรับยาที่จำเป็นและแพทย์เห็นสมควรเท่านั้น เพราะเป็นคนแพ้ยาง่ายและถ้าไม่จำเป็นก็ไม่รักษา จะใช้วิธีการดูแลตนเอง เป็นอันดับแรก ดิฉันคิดว่าการออกระเบียบบางอย่าง ไม่ยุติธรรม แพทย์ท่านก็ไม่กล้าปฏิบัติผิดระเบียบอยู่แล้ว ดิฉันคิดว่าน่าจะทบทวนกฎระเบียบบางข้อใหม่ ในบางข้อ เพื่อให้ผู้รักษาและผู้รับการักษาได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

น้องใหม่ ข้าราชการบำนาญ

จากคำชี้แจงของ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ดูเหมือนจะยุติธรรมดี แต่ความเป็นจริง แพทย์ไม่กล้าจ่ายยาตามที่เคยจ่ายให้คนไข้ ทำให้การรักษาไม่ได้ผล จากผู้ที่แสดงความคิดเห็นมา ดังนั้นถ้านโยบายนี้มาจากรัฐบาลชุดใด? นี่ก็ใกล้วันยุบสภาฯจะมีการเลือกตั้ง พวกเราข้าราชการทั้งหมดรวมที่เกษียญด้วยที่มีผลกระทบต่อนโยบายนี้ ก็อย่าไปเลือกพรรคที่กำหนดนโยบายนี้ก็แล้วกัน ถ้านโยบายของพรรคการเมืองใดที่ให้สวัสดิการพวกเราเหมือนเดิม พวกเราก็เลือกพรรคนั้น OK?

เรียนท่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง คงเหมือนหลายคนที่รับราชการ ยอมรับเงินเดือนน้อยนิด เพื่อสิทธิได้รับการรักษา และสวัสดิการที่ดียามที่ร่างกายเริ่มอ่อนแอ หรือแก่ลง แต่แล้วก็ลงเอยด้วยการที่ลดค่ายา เอายาดีออกไป และเอายาที่ด้อยประสิทธิภาพกว่ามารักษา ถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ปัญหาอยู่ที่คนจ่ายยามากกว่า ที่จะเลือกใช้ยาให้เหมาะกับอาการ ไม่ใช่กรมบัญชีกลางเป็นคนกำหนดขอบเขตให้หมอ มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ การบริหารจัดการเรื่องการซื้อขายยากันเองของโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมโดยส่วนกลาง หรือองค์การเภสัชมั้ย ถ้าแก้ปัญหาถูกต้อง จะดีกว่านี้มากมาก

สรุป ถ้าไม่ดูแลข้าราชการให้ดี ข้าราชการก็จะขาดขวัญกำลังใจในการทำงานด้วย แล้วงานจะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร จะพัฒนาได้หรือ

โรคต่าง ๆ ก็มักจะมาจากสารพิษถ้าไม่มีงบให้เบิกยา ก็ยุบโรงงานยาสูบไปเลยสิคะท่าน

เป็นเพราะคนไทย รอแต่รัฐ ช่วยเหลือ ยิ่งบัตรทอง อะไร ๆ ก็ฟรี  ทำให้รัฐต้องหาเงินทุุกวิถีทาง มาจ่ายแทนงัย   มันเป็นผลต่อเหนื่องมาถึง คนเสียภาษีทุกๆ คนแหละ

ดิฉันขอรบกวนเรียนถามกรมบัญชีกลางนะคะว่ายา Faslodex ยารักษาโรคมะเร็งเบิกไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะคุณหมอของโรงพยาบาลจุฬาไม่เซ็นหนังสือรับรองให้ ดิฉันและทางครอบครัวได้รับความเดือดร้อนมากค่ะ เพราะชีวิตของครอบครัวเรามีพี่สาวเป็นโรคมะเร็ง ก็ได้ยาจากการเบิกจากข้าราชการ แต่เดี๋ยวนี้เราเบิกไม่ได้ สภาพจิตใจก็แย่ลง เพราะค่ายาแพงมาก ดิฉันขอรบกวนทางกรมบัญชีได้ช่วยเหลือผู้ที่ทนทุกข์ทรมานให้มีชีวิตที่เหลืออยู่ได้อยู่แบบไม่เครียดได้ไหมคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท